Wealth Sharing
SCB EIC คาดยอดโอนกรรมสิทธิ์ปี66โต 1-6% มีมูลค่าประมาณ 1.09 ถึง 1.14ล้านล้านบาท
09 มิถุนายน 2566
SCB EIC คาดตลาดที่อยู่อาศัยทั่วประเทศปี 2566 มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ยอดโอนกรรมสิทธิ์ทั่วประเทศขยายตัวประมาณ +1% ถึง +6% มูลค่าประมาณ 1.09 ถึง 1.14ล้านล้านบาท
SCB EIC วิเคราะห์ตลาดที่อยู่อาศัยทั่วประเทศปี 2566 มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ตามการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจ และกำลังซื้อจากทั้งในประเทศ และต่างชาติ โดยหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ทั่วประเทศในปี 2566 มีแนวโน้มขยายตัวประมาณ +1% ถึง +6% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ระดับ 397,000 ถึง 418,000หน่วย ส่วนมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ทั่วประเทศในปี 2566 มีแนวโน้มขยายตัวราว +2% ถึง +7% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1.09 ถึง 1.14ล้านล้านบาท
ทั้งนี้อัตราการขยายตัวในปี2566มีแนวโน้มชะลอตัวลงจากปีก่อนหน้า โดยตลาดแนวราบกลุ่มบ้านเดี่ยวบ้านแฝดยังคงมีแนวโน้มขยายตัวได้ดี กลุ่มทาวน์เฮาส์คาดว่าจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป จากที่หดตัวมากในปีที่ผ่านมา ขณะที่ตลาดคอนโดจะขยายตัวได้มากขึ้น โดยเฉพาะคอนโดระดับบน สำหรับตลาดที่อยู่อาศัยมือสองยังมีแนวโน้มได้รับความนิยมต่อเนื่อง หลังจากที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม แรงกดดันจากเงินเฟ้อ และหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง รวมถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จะทำให้การฟื้นตัวของตลาดที่อยู่อาศัยเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปทำให้จำเป็นต้องกลับมาติดตามสถานการณ์หน่วยเหลือขายสะสม ที่มีแนวโน้มกลับมาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอีกครั้ง นอกจากนี้ ต้นทุนก่อสร้างที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง จะยังเป็นปัจจัยกดดันให้ราคาที่อยู่อาศัยปรับตัวสูงขึ้น
SCB EIC วิเคราะห์ตลาดที่อยู่อาศัยทั่วประเทศปี 2566 มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ตามการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจ และกำลังซื้อจากทั้งในประเทศ และต่างชาติ โดยหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ทั่วประเทศในปี 2566 มีแนวโน้มขยายตัวประมาณ +1% ถึง +6% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ระดับ 397,000 ถึง 418,000หน่วย ส่วนมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ทั่วประเทศในปี 2566 มีแนวโน้มขยายตัวราว +2% ถึง +7% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1.09 ถึง 1.14ล้านล้านบาท
ทั้งนี้อัตราการขยายตัวในปี2566มีแนวโน้มชะลอตัวลงจากปีก่อนหน้า โดยตลาดแนวราบกลุ่มบ้านเดี่ยวบ้านแฝดยังคงมีแนวโน้มขยายตัวได้ดี กลุ่มทาวน์เฮาส์คาดว่าจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป จากที่หดตัวมากในปีที่ผ่านมา ขณะที่ตลาดคอนโดจะขยายตัวได้มากขึ้น โดยเฉพาะคอนโดระดับบน สำหรับตลาดที่อยู่อาศัยมือสองยังมีแนวโน้มได้รับความนิยมต่อเนื่อง หลังจากที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม แรงกดดันจากเงินเฟ้อ และหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง รวมถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จะทำให้การฟื้นตัวของตลาดที่อยู่อาศัยเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปทำให้จำเป็นต้องกลับมาติดตามสถานการณ์หน่วยเหลือขายสะสม ที่มีแนวโน้มกลับมาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอีกครั้ง นอกจากนี้ ต้นทุนก่อสร้างที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง จะยังเป็นปัจจัยกดดันให้ราคาที่อยู่อาศัยปรับตัวสูงขึ้น