จับประเด็นหุ้นเด่น
รายงานพิเศษ : LEO รุกรายได้ธุรกิจ Non-Freight เปิดคลังสินค้า “ควบคุมอุณหภูมิอัจฉริยะ” แห่งแรก
12 มิถุนายน 2566
บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ (LEO) ตอกย้ำความเป็นผู้นำการขนส่งครบวงจร เปิดตัวคลังสินค้าควบคุมอุณหภูมิที่ใช้ระบบ Automation & Robot ระบบอัจฉริยะใช้ Robot ทำงานแทนมนุษย์แห่งแรกของประเทศไทย หวังเพิ่มสัดส่วนรายได้ธุรกิจ Non-Freight ไม่ต่ำกว่า 30% ของรายได้รวม ภายใน 3 ปี
บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ ผู้ให้บริการโลจิสติกส์อย่างครบวงจรที่ครอบคลุมทั่วโลก (End - to - End Global Logistics Services) และให้บริการสนับสนุนการขนส่งสินค้าแบบครบวงจร (Integrated Logistics Services) เดินหน้าขยายธุรกิจคลังสินค้าควบคุมอุณหภูมิใช้ Robot ทำงานแทนมนุษย์แห่งแรกของประเทศไทย
โดยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LEO “เกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์” ระบุว่า บริษัทได้ลงนามความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ (Strategic Cooperation Agreement - SCA) กับ บมจ.สหไทย เทอร์มินอล (PORT) เปิดโครงการ The 1st Intelligent & Robotic Cold Chain Bonded Warehouse/Logistics Center in Bangkok คลังสินค้าควบคุมอุณหภูมิที่ใช้ระบบ Automation & Robot ระบบอัจฉริยะใช้ Robot ทำงานแทนมนุษย์แห่งแรกของประเทศไทย และยังเป็นพื้นที่ที่ได้รับการอนุมัติจากทางกรมศุลกากรให้เป็นคลังสินค้าทัณฑ์บน (Bonded Warehouse) ซึ่งลูกค้าที่มาใช้บริการสามารถได้รับสิทธิประโยชน์ในเรื่องภาษีนำเข้าของการใช้คลังสินค้าทัณฑ์บนทุกประการ
และยังเป็น Bonded Cold Chain Logistics Center ที่ตั้งอยู่ใกล้ศูนย์กลางธุรกิจและการค้าของกรุงเทพมหานครมากที่สุด จึงเป็นจุดแข็งที่สำคัญของโครงการนี้ ในการให้บริการกับผู้นำเข้าสินค้าที่เป็นสินค้าแช่แข็งและควบคุมอุณหภูมิทุกประเภท ในการนำเข้าสินค้ามาเพื่อจัดเก็บและกระจายสินค้าให้กับซุปเปอร์มาร์เก็ต โรงแรม และร้านอาหารต่างๆในกรุงเทฑและปริมณฑล
"ความร่วมมือกับ PORT ในครั้งนี้ เป็นการให้บริการคลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้า (Warehouse / Logistics Center) ที่มีระบบควบคุมอุณหภูมิ เพื่อเป็นการเปิดใช้คลังสินค้าควบคุมอุณหภูมิ ระบบ Automation & Robot ระบบอัจฉริยะ ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ และใช้ Robot ทำงานแทนมนุษย์ ภายในห้องแช่แข็งที่มีอุณหภูมิ 0 -25 องศาเซลเซียส ในท่าเรือสหไทยที่เป็นพื้นที่คลังสินค้าทัณฑ์บน การใช้ ระบบ Automation & Robot นี้จะเข้ามาช่วยตอบโจทย์ในเรื่องของการลดต้นทุนเรื่องการหาบุคคลากรในระดับแรงงานที่นับวันก็จะยิ่งหายาก และยังทำให้บริษัทฯ สามารถให้บริการที่รวดเร็วและมีความแม่นยำและสนองตอบความต้องการของลูกค้า"
ทั้งนี้ LEO ยังมีแผนที่จะยื่นเรื่อง ขอการสนับสนุนการลงทุนจากทางคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่มีมาตรการส่งเสริมการลงุทนอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ เพื่อให้ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี และยังตั้งเป้าที่จะทำให้ Cold Chain Warehouse/Logistics Center แห่งนี้เป็น Green Logistics โดยใช้พลังงานไฟฟ้าจาก Solar Cell และมีระบบการบริการจัดการที่สามารถช่วยลดโลกร้อน (Carbon Emission)
โครงการ The 1st Intelligent & Robotic Cold Chain Bonded Warehouse/Logistics Center in Bangkok คาดว่าจะใช้งบลงทุน 232 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าเช่าทรัพย์สินตลอดระยะเวลาอายุสัญญา 72 ล้านบาท และเงินลงทุนในการพัฒนาโครงการ 160 ล้านบาท และคาดสร้างรายได้อย่างน้อย 800 ล้านบาท ตลอดระยะเวลาโครงการ
"ด้วยจุดเด่นของบริษัทที่มีการให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจรสามารถให้บริการขนส่งสินค้าธรรมดา และสินค้าที่ต้องการควบคุมอุณหภูมิ จึงมีความพร้อมในการให้บริการ คาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ในไตรมาส 1/67 นี้ ซึ่งการร่วมมือในครั้งนี้ เป็นหนึ่งในแผนงานที่ LEO จะพัฒนาในส่วนของธุรกิจ Non-freight ในทุกมิติ และเข้ามาช่วยเสริมให้บริษัทฯ มีการเติบโตทางรายได้และผลประกอบการอย่างก้าวกระโดดภายใน 1-3 ปีข้างหน้าและเพื่อขยายสัดส่วนรายได้ในธุรกิจ Non-Freight ภายใน 3 ปี ไม่ต่ำกว่า 30% ของรายได้รวม”
บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ ผู้ให้บริการโลจิสติกส์อย่างครบวงจรที่ครอบคลุมทั่วโลก (End - to - End Global Logistics Services) และให้บริการสนับสนุนการขนส่งสินค้าแบบครบวงจร (Integrated Logistics Services) เดินหน้าขยายธุรกิจคลังสินค้าควบคุมอุณหภูมิใช้ Robot ทำงานแทนมนุษย์แห่งแรกของประเทศไทย
โดยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LEO “เกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์” ระบุว่า บริษัทได้ลงนามความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ (Strategic Cooperation Agreement - SCA) กับ บมจ.สหไทย เทอร์มินอล (PORT) เปิดโครงการ The 1st Intelligent & Robotic Cold Chain Bonded Warehouse/Logistics Center in Bangkok คลังสินค้าควบคุมอุณหภูมิที่ใช้ระบบ Automation & Robot ระบบอัจฉริยะใช้ Robot ทำงานแทนมนุษย์แห่งแรกของประเทศไทย และยังเป็นพื้นที่ที่ได้รับการอนุมัติจากทางกรมศุลกากรให้เป็นคลังสินค้าทัณฑ์บน (Bonded Warehouse) ซึ่งลูกค้าที่มาใช้บริการสามารถได้รับสิทธิประโยชน์ในเรื่องภาษีนำเข้าของการใช้คลังสินค้าทัณฑ์บนทุกประการ
และยังเป็น Bonded Cold Chain Logistics Center ที่ตั้งอยู่ใกล้ศูนย์กลางธุรกิจและการค้าของกรุงเทพมหานครมากที่สุด จึงเป็นจุดแข็งที่สำคัญของโครงการนี้ ในการให้บริการกับผู้นำเข้าสินค้าที่เป็นสินค้าแช่แข็งและควบคุมอุณหภูมิทุกประเภท ในการนำเข้าสินค้ามาเพื่อจัดเก็บและกระจายสินค้าให้กับซุปเปอร์มาร์เก็ต โรงแรม และร้านอาหารต่างๆในกรุงเทฑและปริมณฑล
"ความร่วมมือกับ PORT ในครั้งนี้ เป็นการให้บริการคลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้า (Warehouse / Logistics Center) ที่มีระบบควบคุมอุณหภูมิ เพื่อเป็นการเปิดใช้คลังสินค้าควบคุมอุณหภูมิ ระบบ Automation & Robot ระบบอัจฉริยะ ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ และใช้ Robot ทำงานแทนมนุษย์ ภายในห้องแช่แข็งที่มีอุณหภูมิ 0 -25 องศาเซลเซียส ในท่าเรือสหไทยที่เป็นพื้นที่คลังสินค้าทัณฑ์บน การใช้ ระบบ Automation & Robot นี้จะเข้ามาช่วยตอบโจทย์ในเรื่องของการลดต้นทุนเรื่องการหาบุคคลากรในระดับแรงงานที่นับวันก็จะยิ่งหายาก และยังทำให้บริษัทฯ สามารถให้บริการที่รวดเร็วและมีความแม่นยำและสนองตอบความต้องการของลูกค้า"
ทั้งนี้ LEO ยังมีแผนที่จะยื่นเรื่อง ขอการสนับสนุนการลงทุนจากทางคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่มีมาตรการส่งเสริมการลงุทนอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ เพื่อให้ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี และยังตั้งเป้าที่จะทำให้ Cold Chain Warehouse/Logistics Center แห่งนี้เป็น Green Logistics โดยใช้พลังงานไฟฟ้าจาก Solar Cell และมีระบบการบริการจัดการที่สามารถช่วยลดโลกร้อน (Carbon Emission)
โครงการ The 1st Intelligent & Robotic Cold Chain Bonded Warehouse/Logistics Center in Bangkok คาดว่าจะใช้งบลงทุน 232 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าเช่าทรัพย์สินตลอดระยะเวลาอายุสัญญา 72 ล้านบาท และเงินลงทุนในการพัฒนาโครงการ 160 ล้านบาท และคาดสร้างรายได้อย่างน้อย 800 ล้านบาท ตลอดระยะเวลาโครงการ
"ด้วยจุดเด่นของบริษัทที่มีการให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจรสามารถให้บริการขนส่งสินค้าธรรมดา และสินค้าที่ต้องการควบคุมอุณหภูมิ จึงมีความพร้อมในการให้บริการ คาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ในไตรมาส 1/67 นี้ ซึ่งการร่วมมือในครั้งนี้ เป็นหนึ่งในแผนงานที่ LEO จะพัฒนาในส่วนของธุรกิจ Non-freight ในทุกมิติ และเข้ามาช่วยเสริมให้บริษัทฯ มีการเติบโตทางรายได้และผลประกอบการอย่างก้าวกระโดดภายใน 1-3 ปีข้างหน้าและเพื่อขยายสัดส่วนรายได้ในธุรกิจ Non-Freight ภายใน 3 ปี ไม่ต่ำกว่า 30% ของรายได้รวม”