‘บมจ. บางกอกแล็ป แอนด์ คอสเมติค หรือ BLC’ หนึ่งในผู้นำธุรกิจผลิต และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยา และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพครบวงจร ประกาศราคาเสนอขาย IPO ที่ราคา 10.50 บาทต่อหุ้น พร้อมเปิดให้นักลงทุนจองซื้อตั้งแต่วันที่ 14 - 16 มิถุนายนนี้ รุกวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ยาสามัญใหม่ 14 รายการ รับเมกะเทรนด์ด้านสุขภาพเติบโตทั่วโลก เล็งขยายตลาดทั้งในประเทศ และต่างประเทศ พร้อมยกระดับสมุนไพรไทยไปสู่ในตลาดโลก และสร้างความมั่นคงด้านสุขภาพให้คนไทย เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยา และเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน
บมจ. บางกอกแล็ป แอนด์ คอสเมติค หรือ BLC ลงนามในสัญญาแต่งตั้งให้ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญ พร้อมแต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญร่วม
ภก.สุวิทย์ งามภูพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอกแล็ป แอนด์ คอสเมติค จำกัด (มหาชน) หรือ BLCเปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปี บริษัทฯ มุ่งสร้างความมั่นคงทางด้านสุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดีทางด้านสังคมและเศรษฐกิจ (Trusted Solutions for Lifelong Well-being) ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพของ BLC สร้างการยอมรับจากสถานพยาบาลทั้งภาครัฐ เอกชน ร้านขายยาชั้นนำทั้งในประเทศกว่า 8,000 แห่ง และส่งออกไปกว่า 10 ประเทศทั่วโลก โดย BLC พร้อมสร้างการเติบโตต่อเนื่อง เพื่อรองรับศักยภาพการเติบโตของเทรนด์สุขภาพในอนาคต ด้วยกลยุทธ์ 4P Innovation ประกอบด้วย
1) Product มุ่งพัฒนายาสามัญใหม่ ในกลุ่มยาที่มีอัตราการเติบโตสูง เพื่อเป็นผู้เล่นรายแรกในตลาด (First-to-market new generic drugs) และสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างทันท่วงที นอกจากนี้ยังมุ่งขยายพอร์ตสินค้าอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งขยายฐานลูกค้า OEM เพื่อใช้ประโยชน์จากโรงงานผลิตให้เต็มประสิทธิภาพ 2) Place มุ่งเน้นการเพิ่มยอดขายยาสามัญใหม่ในช่องทางโรงพยาบาลทั้งรัฐและเอกชน ขยายช่องทางจำหน่ายในต่างประเทศ โดยมีประเทศเป้าหมาย คือ ลาว กัมพูชา เวียดนาม เมียนมา ฮ่องกง อินโดนีเซีย จีน ประเทศแถบตะวันออกกลาง รวมทั้งพัฒนาช่องทางการจัดจำหน่าย Modern Trade และ
E-Commerce 3) Process มุ่งพัฒนากระบวนการผลิต นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามามีส่วนช่วยในทุก ๆ ขั้นตอนการผลิตและการควบคุมคุณภาพ เพิ่มสินค้าในพอร์ตธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาด (Economy of Scale) รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการทำกำไรให้บริษัทฯ 4) People ผู้บริหารมีประสบการณ์มาอย่างยาวนานในอุตสาหกรรมยา รวมทั้งให้ความสำคัญกับบุคลากร โดยการพัฒนาความรู้ ความสามารถ ทักษะ และทัศนคติ
“เราวางเป้าหมายรายได้และกำไรสุทธิเติบโตต่อเนื่อง ผ่านการผลิตยาแผนปัจจุบัน ประเภทยาสามัญใหม่เป็นหลัก โดยมุ่งเน้นไปที่ยาในบัญชียามุ่งเป้าตามประกาศของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และผลิตยาตามบัญชีนวัตกรรมไทยขึ้นทะเบียนกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ที่ใช้นวัตกรรมและองค์ความรู้ใหม่ๆ ในการวิจัยและผลิต ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจและความมั่นคงทางยาของประเทศ รวมทั้งยึดหลักการดำเนินกิจการภายใต้หลักธรรมาภิบาลที่ดี ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และสังคม เราดูแลครอบครัวคนไทยมาตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา ด้วยจุดมุ่งหมายสูงสุด คือ การสร้างสุขภาพที่ดีและความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยืนยาวให้กับประชาชนทุกภาคส่วน” ภก.สุวิทย์ กล่าว
ภก.ศุภชัย สายบัว ประธานเจ้าหน้าที่สายปฏิบัติการ บริษัท บางกอกแล็ป แอนด์ คอสเมติค จำกัด (มหาชน) หรือ BLC กล่าวว่า บริษัทฯ มีโครงการลงทุนที่วางแผนไว้ในอนาคต ประกอบด้วยการก่อสร้างโรงงานผลิตยาอาคารใหม่ เน้นการผลิตยาแผนปัจจุบัน ประเภทยาสามัญใหม่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตประมาณ 193% รวมทั้งติดตั้งแผงผลิตไฟฟ้า Solar Rooftop บนอาคารโรงงาน และโครงการวิจัย พัฒนาและผลิตผลิตภัณฑ์ยาแผนปัจจุบัน ประเภทยาสามัญใหม่ 14 รายการ โดยทยอยเริ่มวิจัยและพัฒนาในปี 2566 และเริ่มทยอยจำหน่ายปี 2569 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ ยาสามัญใหม่ที่จะพัฒนาจะมุ่งเน้นกลุ่มยาที่มีอัตราการเติบโตสูง สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค และยากลุ่มโรคที่มีอัตราเป็นโรคต่อประชากรในสัดส่วนที่สูง เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง โรคตับ รวมถึงกลุ่มยาที่รองรับการเติบโตของสังคมผู้สูงอายุ เช่น โรคอัลไซเมอร์ ซึ่งการลงทุนโครงการดังกล่าว จะช่วยเพิ่มศักยภาพการเติบโตอย่างก้าวกระโดด รองรับการเติบโตของเทรนด์ด้านสุขภาพ และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต
ภก.สมชัย พิสพหุธาร ประธานเจ้าหน้าที่สายบัญชีและการเงิน บริษัท บางกอกแล็ป แอนด์ คอสเมติค จำกัด (มหาชน) หรือ BLC กล่าวว่า ภาพรวมการดำเนินงานในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2563-2565) มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ มีรายได้จากการขายอยู่ที่ 1,027.2 ล้านบาท 1,027.7 ล้านบาท และ 1,238.5 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ย 9.8% โดยในช่วงปี 2564 การเติบโตมีการชะลอตัวเนื่องจากการระบาดอย่างรุนแรงของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งกระทบกับสินค้าบางรายการ อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายปี 2564 มีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคของรัฐบาล อัตราการได้รับวัคซีนป้องกันโรคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประชาชนเริ่มเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและซื้อยาตามร้านขายยา ทำให้ดีมานด์ของยาปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการเปิดประเทศเพื่อรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ที่ส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทฯ ปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ สำหรับกำไรสุทธิในปี 2563 2564 เท่ากับ 13.7 ล้านบาท และ 51.1 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเจริญเติบโต 273% และ กำไรสุทธิปี 2565 เท่ากับ 129.7 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเจริญเติบโตจากปีก่อนหน้า 153% โดยกำไรสุทธิของบริษัทฯ ปรับตัวดีขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของรายได้ และกำไรขั้นต้น รวมทั้งการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการสร้างกำไรให้บริษัทฯ อย่างต่อเนื่อง
นางสาวสุวิมล ศรีโสภาจิต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญ กล่าวว่า หลังจากนำเสนอแผนดำเนินงานและศักยภาพการเติบโตของ BLC พบว่า นักลงทุนมีความเชื่อมั่นที่ดีจากความได้เปรียบเชิงการแข่งขันของบริษัทฯ ที่มีความแข็งแกร่งจากการเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายยาแผนปัจจุบัน ซึ่งมีความจำเป็นในการรักษาโรคครอบคลุมประชากรทั้งประเทศ และมีผลิตภัณฑ์สุขภาพครอบคลุมทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ และเป็นที่ยอมรับและไว้วางใจมากว่า 30 ปี ทั้งในสถานพยาบาล ร้านขายยาชั้นนำในประเทศกว่า 8,000 แห่ง และส่งออกไปยังกว่า 10 ประเทศทั่วโลก มีช่องทางการจัดจำหน่ายที่ทั่วถึง อีกทั้งมีศูนย์วิจัย BLC ในการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างนวัตกรรมด้านสมุนไพร เพื่อยกระดับสมุนไพรไทยให้เป็นที่ยอมรับในตลาดโลก รวมทั้งสามารถรองรับการเติบโตของเทรนด์ด้านสุขภาพในอนาคต ดังนั้น จึงกำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญที่ 10.50 บาทต่อหุ้น พร้อมเปิดให้นักลงทุนจองซื้อในระหว่างวันที่ 14-16 มิถุนายนนี้ และคาดว่าจะนำหลักทรัพย์ BLC เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ภายในเดือนมิถุนายนนี้ โดยบริษัทฯ มีแผนนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้ลงทุนโครงการในอนาคต จ่ายคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับที่ปรึกษาทางการเงิน และ/หรือผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
บมจ. บางกอกแล็ป แอนด์ คอสเมติค หรือ BLC ลงนามในสัญญาแต่งตั้งให้ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญ พร้อมแต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญร่วม
ภก.สุวิทย์ งามภูพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอกแล็ป แอนด์ คอสเมติค จำกัด (มหาชน) หรือ BLCเปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปี บริษัทฯ มุ่งสร้างความมั่นคงทางด้านสุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดีทางด้านสังคมและเศรษฐกิจ (Trusted Solutions for Lifelong Well-being) ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพของ BLC สร้างการยอมรับจากสถานพยาบาลทั้งภาครัฐ เอกชน ร้านขายยาชั้นนำทั้งในประเทศกว่า 8,000 แห่ง และส่งออกไปกว่า 10 ประเทศทั่วโลก โดย BLC พร้อมสร้างการเติบโตต่อเนื่อง เพื่อรองรับศักยภาพการเติบโตของเทรนด์สุขภาพในอนาคต ด้วยกลยุทธ์ 4P Innovation ประกอบด้วย
1) Product มุ่งพัฒนายาสามัญใหม่ ในกลุ่มยาที่มีอัตราการเติบโตสูง เพื่อเป็นผู้เล่นรายแรกในตลาด (First-to-market new generic drugs) และสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างทันท่วงที นอกจากนี้ยังมุ่งขยายพอร์ตสินค้าอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งขยายฐานลูกค้า OEM เพื่อใช้ประโยชน์จากโรงงานผลิตให้เต็มประสิทธิภาพ 2) Place มุ่งเน้นการเพิ่มยอดขายยาสามัญใหม่ในช่องทางโรงพยาบาลทั้งรัฐและเอกชน ขยายช่องทางจำหน่ายในต่างประเทศ โดยมีประเทศเป้าหมาย คือ ลาว กัมพูชา เวียดนาม เมียนมา ฮ่องกง อินโดนีเซีย จีน ประเทศแถบตะวันออกกลาง รวมทั้งพัฒนาช่องทางการจัดจำหน่าย Modern Trade และ
E-Commerce 3) Process มุ่งพัฒนากระบวนการผลิต นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามามีส่วนช่วยในทุก ๆ ขั้นตอนการผลิตและการควบคุมคุณภาพ เพิ่มสินค้าในพอร์ตธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาด (Economy of Scale) รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการทำกำไรให้บริษัทฯ 4) People ผู้บริหารมีประสบการณ์มาอย่างยาวนานในอุตสาหกรรมยา รวมทั้งให้ความสำคัญกับบุคลากร โดยการพัฒนาความรู้ ความสามารถ ทักษะ และทัศนคติ
“เราวางเป้าหมายรายได้และกำไรสุทธิเติบโตต่อเนื่อง ผ่านการผลิตยาแผนปัจจุบัน ประเภทยาสามัญใหม่เป็นหลัก โดยมุ่งเน้นไปที่ยาในบัญชียามุ่งเป้าตามประกาศของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และผลิตยาตามบัญชีนวัตกรรมไทยขึ้นทะเบียนกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ที่ใช้นวัตกรรมและองค์ความรู้ใหม่ๆ ในการวิจัยและผลิต ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจและความมั่นคงทางยาของประเทศ รวมทั้งยึดหลักการดำเนินกิจการภายใต้หลักธรรมาภิบาลที่ดี ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และสังคม เราดูแลครอบครัวคนไทยมาตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา ด้วยจุดมุ่งหมายสูงสุด คือ การสร้างสุขภาพที่ดีและความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยืนยาวให้กับประชาชนทุกภาคส่วน” ภก.สุวิทย์ กล่าว
ภก.ศุภชัย สายบัว ประธานเจ้าหน้าที่สายปฏิบัติการ บริษัท บางกอกแล็ป แอนด์ คอสเมติค จำกัด (มหาชน) หรือ BLC กล่าวว่า บริษัทฯ มีโครงการลงทุนที่วางแผนไว้ในอนาคต ประกอบด้วยการก่อสร้างโรงงานผลิตยาอาคารใหม่ เน้นการผลิตยาแผนปัจจุบัน ประเภทยาสามัญใหม่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตประมาณ 193% รวมทั้งติดตั้งแผงผลิตไฟฟ้า Solar Rooftop บนอาคารโรงงาน และโครงการวิจัย พัฒนาและผลิตผลิตภัณฑ์ยาแผนปัจจุบัน ประเภทยาสามัญใหม่ 14 รายการ โดยทยอยเริ่มวิจัยและพัฒนาในปี 2566 และเริ่มทยอยจำหน่ายปี 2569 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ ยาสามัญใหม่ที่จะพัฒนาจะมุ่งเน้นกลุ่มยาที่มีอัตราการเติบโตสูง สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค และยากลุ่มโรคที่มีอัตราเป็นโรคต่อประชากรในสัดส่วนที่สูง เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง โรคตับ รวมถึงกลุ่มยาที่รองรับการเติบโตของสังคมผู้สูงอายุ เช่น โรคอัลไซเมอร์ ซึ่งการลงทุนโครงการดังกล่าว จะช่วยเพิ่มศักยภาพการเติบโตอย่างก้าวกระโดด รองรับการเติบโตของเทรนด์ด้านสุขภาพ และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต
ภก.สมชัย พิสพหุธาร ประธานเจ้าหน้าที่สายบัญชีและการเงิน บริษัท บางกอกแล็ป แอนด์ คอสเมติค จำกัด (มหาชน) หรือ BLC กล่าวว่า ภาพรวมการดำเนินงานในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2563-2565) มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ มีรายได้จากการขายอยู่ที่ 1,027.2 ล้านบาท 1,027.7 ล้านบาท และ 1,238.5 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ย 9.8% โดยในช่วงปี 2564 การเติบโตมีการชะลอตัวเนื่องจากการระบาดอย่างรุนแรงของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งกระทบกับสินค้าบางรายการ อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายปี 2564 มีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคของรัฐบาล อัตราการได้รับวัคซีนป้องกันโรคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประชาชนเริ่มเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและซื้อยาตามร้านขายยา ทำให้ดีมานด์ของยาปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการเปิดประเทศเพื่อรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ที่ส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทฯ ปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ สำหรับกำไรสุทธิในปี 2563 2564 เท่ากับ 13.7 ล้านบาท และ 51.1 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเจริญเติบโต 273% และ กำไรสุทธิปี 2565 เท่ากับ 129.7 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเจริญเติบโตจากปีก่อนหน้า 153% โดยกำไรสุทธิของบริษัทฯ ปรับตัวดีขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของรายได้ และกำไรขั้นต้น รวมทั้งการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการสร้างกำไรให้บริษัทฯ อย่างต่อเนื่อง
นางสาวสุวิมล ศรีโสภาจิต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญ กล่าวว่า หลังจากนำเสนอแผนดำเนินงานและศักยภาพการเติบโตของ BLC พบว่า นักลงทุนมีความเชื่อมั่นที่ดีจากความได้เปรียบเชิงการแข่งขันของบริษัทฯ ที่มีความแข็งแกร่งจากการเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายยาแผนปัจจุบัน ซึ่งมีความจำเป็นในการรักษาโรคครอบคลุมประชากรทั้งประเทศ และมีผลิตภัณฑ์สุขภาพครอบคลุมทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ และเป็นที่ยอมรับและไว้วางใจมากว่า 30 ปี ทั้งในสถานพยาบาล ร้านขายยาชั้นนำในประเทศกว่า 8,000 แห่ง และส่งออกไปยังกว่า 10 ประเทศทั่วโลก มีช่องทางการจัดจำหน่ายที่ทั่วถึง อีกทั้งมีศูนย์วิจัย BLC ในการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างนวัตกรรมด้านสมุนไพร เพื่อยกระดับสมุนไพรไทยให้เป็นที่ยอมรับในตลาดโลก รวมทั้งสามารถรองรับการเติบโตของเทรนด์ด้านสุขภาพในอนาคต ดังนั้น จึงกำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญที่ 10.50 บาทต่อหุ้น พร้อมเปิดให้นักลงทุนจองซื้อในระหว่างวันที่ 14-16 มิถุนายนนี้ และคาดว่าจะนำหลักทรัพย์ BLC เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ภายในเดือนมิถุนายนนี้ โดยบริษัทฯ มีแผนนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้ลงทุนโครงการในอนาคต จ่ายคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับที่ปรึกษาทางการเงิน และ/หรือผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย