ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในเดือนมิถุนายน ดัชนีหุ้นยังคงแกว่งตัวในทิศทางขาลง ซึ่งบล.เอเซียพลัสประเมินว่า การที่ SET Index ปรับลดลงมาด้วยแรงกดดันจากหุ้น DELTA ที่ถูกขาย อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่าจะไม่ทำให้SET Index ปรับลดลงไปต่ำกว่าแนวรับที่ 1520 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1545 จุด หุ้น Top Pick เลือก AOT, SCGP และ JMT ดังนั้นฝ่ายวิจัยทำการวิเคราะห์หา หุ้นที่สถาบันฯ ขาย DELTA แล้วจะไปไหน?แบ่งออกได้ 2 กลุ่ม คือ
- หาหุ้นใหญ่ที่มักขึ้นได้ดี ช่วงที่ DELTA ปรับฐานลงแรง และติด Trading Alert ในเดือน เม.ย. 66 และปัจจุบันฝ่ายวิจัย แนะนำ Outperform อย่าง AOT, BEM, CPN, BBL, SCB, KTB
- หาหุ้นขนาดใหญ่ ที่มีโอกาสถูกทำ Window Dressing สูง ในช่วงก่อนสิ้นไตรมาส 2 หรือหุ้นที่มักจะให้ผลตอบแทนชนะตลาดในช่วง ครึ่งหลังของเดือน มิ.ย. ย้อนหลัง 5 ปี (Alpha >0) อย่าง SCGP, GPSC, SCC, CBG, GULF, TU
สรุป รายชื่อหุ้นดังกล่าวมีโอกาสได้แรงหนุน จากการกระจายการลงทุนของนักลงทุนสถาบันฯ หลังจากขายลดความเสี่ยงในหุ้น DELTA บางส่วน และน่าจะ Outperform ตลาดในช่วงนี้ ที่มีสภาพคล่องต่ำกว่าปกติมากได้
ทั้งนี้ จากการรวบรวมข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในส่วนพอร์ตการลงทุนของ "ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา"ซึ่งเป็นหนึ่งนักลงทุนรายใหญ่ที่ลงทุนในตลาดหุ้นไทย โดยปัจจุบันมีมูลค่าพอร์ตลงทุนรวมอยู่ที่ 2.5 พันล้านบาท โดยมีการถือครองหุ้นที่มีรายชื่อติดอันดับ 1 ใน 10 ผู้ถือหุ้นใหญ่จำนวน 7 บริษัท ประกอบด้วย
หุ้น |
จำนวน (หุ้น) |
% การถือครอง |
ASN |
5,756,100 |
3.07 |
CHAYO |
69,854,837 |
6.39 |
JMT |
26,704,014 |
1.83 |
KLINIQ |
10,168,982 |
4.62 |
MANRIN |
758,600 |
2.82 |
MASTER |
3,629,800 |
1.51 |
THREL |
15,552,400 |
2.59 |
ทั้งนี้ หากนำข้อมูลหุ้นในพอร์ตลงทุนได้มีการปิดสมุดทะเบียนรายชื่อผู้ถือหุ้น ณ เดือนพฤษภาคมมาเปรียบเทียบกับรายชื่อในสมุดทะเบียนรายชื่อผู้ถือหุ้นครั้งก่อนส่วนใหญ่เป็นเดือนมีนาคม 2566 พบว่า "ไพบูลย์ เสรีวัฒนา"ได้เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้น KLINIQ ล่าสุดถือหุ้นจำนวน10,168,982 หุ้น จากเดิมถือหุ้น 9,499,182 หุ้น ดังนั้นสะท้อนได้ว่ามีการซื้อหุ้นเพิ่มขึ้น จำนวน 669,800 หุ้น และหุ้น CHAYO ล่าสุดถือหุ้น 69,854,837 หุ้น จากเดิมถือหุ้น 69,654,837 หุ้น หรือถือเพิ่มขึ้น 200,000 หุ้น
หุ้น |
จำนวน พ.ค. |
จำนวน มี.ค. |
เปลี่ยนแปลง |
CHAYO |
69,854,837 |
69,654,837 |
200,000 |
KLINIQ |
10,168,982 |
9,499,182 |
669,800 |
THREL |
15,552,400 |
15,652,400 |
-100,000 |
หน่วย: หุ้น |
|
|
|
ขณะเดียวกันได้มีการลดสัดส่วนการถือหุ้น THREL ล่าสุดถือครอง 15,552,400 หุ้น จากเดิมเคยถือ 15,652,400หุ้น ลดลงเพียง100,000 หุ้น
สำหรับการเคลื่อนไหวราคาหุ้น KLINIQ ในเดือนพฤษภาคม 2566 ราคาหุ้นปรับลดลง 1.88%จากราคา 40 บาท มาอยู่ที่ 39.25 บาท โดยราคาเคยปรับตัวขึ้นไปสูงสุดที่ 44 บาทต่อหุ้น และต่ำสุดที่ราคา 37.25 บาทต่อหุ้น
ส่วนการเคลื่อนไหวของหุ้น CHAYO ในช่วงเวลาเดียวกัน ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น 9.66% จากราคา 7.25 บาทเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 7.95บาท เคยปรับตัวขึ้นไปสูงสุดที่ 8.45 บาท และต่ำสุดที่ 7.05 บาท
บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ระบุว่า แนะนำซื้อ CHAYOราคาเป้าหมาย 10.80 บาท เนื่องจาก1Q23 ทำสถิติสูงสุด, บริษัทรายงานกำไรสุทธิ 1Q23 ที่ 104 ล้านบาท (+43% YoY, +20% QoQ) ทำสถิติสูงสุดใหม่ และสูงกว่าตลาดคาดที่ 94 ล้านบาท จาก 1) รายได้ธุรกิจ AMC ที่เพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดที่ +58% YoY, +20% QoQ ตามเศรษฐกิจที่ดี และการเข้าซื้อหนี้เสียที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกองหนี้ unsecured ที่บริษัทสามารถติดตามหนี้ได้ดี โดย cash collection ปรับตัวสูงขึ้นเป็น 100 ล้านบาท/ไตรมาส
2) รายได้ดอกเบี้ยจากธุรกิจให้สินเชื่อเพิ่มขึ้น ขณะที่ 3) ค่าใช้จ่ายสำรองเพิ่มขึ้น ตามขนาดกองหนี้เสีย unsecured ที่บริษัทได้เข้าซื้อเพิ่มขึ้นสูงในช่วงปลายปี 2022 ที่ผ่านมาเราคงกำไรสุทธิปี 2023E ที่ 413 ล้านบาท (+64% YoY) หนุนโดยรายได้ และการจัดเก็บหนี้ NPL ที่ดีขึ้นตามเศรษฐกิจ, การปล่อยสินเชื่อที่เร่งขยายตัวเพื่อรองรับ CHAYO Capital ที่จะ IPO ในปี 2024E รวมทั้งรับรู้กำไรจากการขายทรัพย์ NPA ขนาดใหญ่ในพังงา
ราคาหุ้น outperform SET +6% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา จากความคาดหวังต่อผลการดำเนินงานที่จะทำสถิติใหม่ ทั้งนี้เราคงแนะนำ “ซื้อ” จากต้นทุนการเข้าซื้อหนี้เสียที่เพิ่มขึ้น ภายหลังที่สถาบันการเงินได้ทยอยเร่งขายหนี้เสียตั้งแต่ต้นปี 2023E ที่ผ่านมา, การรับรู้รายได้จากการขายทรัพย์ NPA ที่พังงา เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น หลังศาลอุทธรณ์ยกคำร้องของผู้คัดค้านการขาย รวมทั้งราคาปัจจุบันยังเทรดต่ำเพียง 2023E PBV 2.0x (-1SD)