ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงต่อเนื่อง โดย ดัชนีปรับลดลง 9.92% ซึ่งมีปัจจัยทั้งภายในและต่างประเทศกดดันอย่างต่อเนื่อง ขณะที่บล.เอเซียพลัส ประเมินว่าปัจจุบันกำแพงที่เคยกั้นขวาง Upside ของ SET Index ให้ Underperform ตลาดหุ้นโลก ค่อยเปิดออก ด้วยปัจจัยต่างๆ ดังนี้
- ประเด็นการเมือง เริ่มเข้าใกล้ผลลัพธ์สุดท้ายเข้ามาทุกที ถ้ารัฐบาลใหม่จัดตั้งอยู่ในฝั่งเสียงข้างมาก ช่วยให้ความกังวลและแรงกดดันต่างๆ ต่อตลาดหุ้นที่ผ่านมาลดน้อยลง และน่าจะเห็นการกลับมากระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลใหม่อีกครั้งในช่วงที่เหลือของปี อาจช่วยหนุน EPS ตลาดให้เพิ่มขึ้นได้โดย ESP ที่เพิ่มขึ้น 1%หนุน ดัชนีเป้าหมายของ SET ให้เพิ่มขึ้นได้ 15จุด
- เงินเฟ้อไทย มีแนวโน้มชะลอลงเด่นกว่าหลายประเทศ ช่วยหนุนให้กนง. มีโอกาสชะลอการขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดๆ ไป ซึ่ง ณ ดอกเบี้ยนโยบายที่ 2%จะส่งผลให้ SET Index มีแนวต้านทางพื้นฐานแรกอยู่ที่ 1542จุด (ภายใต้ MEYG = 4%)
- เริ่มเห็น Fund Flow ต่างชาติไหลกลับเข้ามาในตลาดการเงิน โดยช่วง 5วันทำการที่ผ่านมาไหลเข้าตลาดการเงิน 1.56หมื่นล้านบาท (เข้าตลาดหุ้น 1.1 พันล้านบาท , เข้าตลาดตราสารหนี้ 1.5 หมื่นล้านบาท) หากมี Momentum ไหลเข้าต่อเนื่องจะช่วยหนุนสภาพคล่อง และ Upside ตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้น หากอิง MEYG (-0.5SD) = 3.7% ถือว่า Conservative มากเมื่อเทียบกับ
ตลาดหุ้นหลายๆ แห่งทั่วโลก (ส่วนใหญ่ MEYG ต่ำกว่า 3.5%) หนุนเป้าหมาย
SET Index เพิ่มขึ้นมา 68 จุด หรือจาก 1520 จุด มาอยู่ที่ 1610 จุด
สรุป กำแพงกัน Upside ของ SET ค่อยๆเปิดออก หากปัญหาทางการเมืองคลี่คลายแนวต้านทางพื้นฐานแรกจะอยู่ที่ 1542 จุด และถ้าสภาพคล่องเพิ่มหรือ Fund Flow ไหลเข้า จะขยับขึ้นมาที่ 1610 จุด และยังมี Top up ส่วนเพิ่ม ถ้า EPS ตลาดเพิ่มทุก 1% จากมาตการกระตุ้นช่วยเพิ่ม Upside ได้อีก 15 จุด
จากการสำรวจข้อมูจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET)ในส่วนพอร์ตลงทุนของนักลงทุนรายใหญ่ในรอบครึ่งแรกของปี 2566ของ "สถาพร งามเรืองพงศ์" ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในวงการตลาดทุน"เซียนฮง"โดยมีพอร์ตลงทุนมูลค่ารวมประมาณ 2,767.70 ล้านบาท โดยลงทุนในหุ้นจำนวน 6 บริษัท ประกอบด้วย
หุ้น |
จำนวน(หุ้น) |
%การถือครอง |
BE8 |
20,300,060 |
7.67 |
BVG |
5,100,000 |
1.13 |
DITTO |
48,656,420 |
9.21 |
KCC |
5,438,700 |
0.88 |
MICRO |
26,757,400 |
2.86 |
TEAMG |
39,622,600 |
5.83 |
ทั้งนี้ เมื่อนำรายชื่อจากโครงสร้างผู้ถือหุ้นล่าสุดเทียบกับการปิดสมุดทะเบียนในครั้งก่อนพบว่า "เซียนฮง"ได้มีการลดสัดส่วนการถือครองหุ้นลง 2 บริษัท และมีการเพิ่มสัดส่วนถือครอง 1 บริษัท ดังนี้
หุ้น |
จำนวนพ.ค.66(หุ้น) |
จำนวนมี.ค.66(หุ้น) |
เปลี่ยนแปลง(หุ้น) |
BE8 |
20,300,060 |
18,454,600 |
1,845,460 |
MICRO |
26,757,400 |
27,415,400 |
-658,000 |
TEAMG |
39,622,600 |
44,943,900 |
-5,321,300 |
สำหรับการเคลื่อนไหวราคาหุ้น MICRO ในเดือนมิถุนายน 2566 ราคาปรับลดลง 8.28% จากราคา 3.38 บาทมาอยู่ที่ 3.10 บาท เคยปรับตัวขึ้นไปสูงสุดที่ระดับ 3.48 บาท
ส่วนการเคลื่อนไหวราคาหุ้น TEAMG ลดลง 17.07 % จากราคา 8.20 บาทลดลงมาอยู่ที่ 6.80 บาท เคยปรับตัวขึ้นไปสูงสุดที่ 9.20 บาท
นอกจากนี้บล.กรุงศรี พัฒนสิน แนะนำให้ขายหุ้น MICRO โดยให้ราคาพื้นฐานอยู่ที่ TP 3.30 บาท เนื่องจากมอง Slightly Negative ต่อกำไรสุทธิ 1Q23 ที่ 3 ลบ. ต่ำกว่าเราคาด เพราะค่าใช้จ่ายสูงกว่าคาด โดยกำไรลดลง -94% y-y เพราะค่าใช้จ่ายสำรอง (ECL) จากขาดทุนรถยึดเพิ่มขึ้น การขยายสินเชื่อไปยังกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น (MPLUS, สินเชื่อเช่าซื้อมอเตอร์ไซด์) และคุณภาพสินทรัพย์แย่ ขณะที่กำไรเพิ่มขึ้น +254% q-q เพราะ i) สินเชื่อรวม +24% y-y และ +3% q-q คิดเป็น +3% YTD ii) รายได้ค่าธรรมเนียมจากการขายประกันเพิ่มขึ้น สำหรับ NPL Ratio อยู่ที่ 4.75% เพิ่มขึ้นจาก 4Q22 ที่ 4.56%
ทั้งนี้เราปรับกำไรสุทธิ 2023-25F ลงปีละ -(13-34)% จากค่าใช้จ่ายสำรองสูงกว่าคาด ส่งผลให้ TP23F ลดลงเหลือ 3.3 บ. ภาพรวมผลประกอบการ 2023F คาดอ่อนแอลดลงแรง y-y และเรามองว่า MICRO ยังมีความเสี่ยงในเรื่องการจัดการคุณภาพสินทรัพย์ ดังนั้นคงคำแนะนำ “ขาย”