Mr.Data
ถามถึงหุ้นไซส์เล็กที่มีสตอรี่ Growth ได้อย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ คงต้องยกนิ้วให้กับ บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) (LEO) ผู้นำธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์อย่างครบวงจรที่ครอบคลุมทั่วโลก (End - to - End Global Logistics Services) และให้บริการสนับสนุนการขนส่งสินค้าแบบครบวงจร (Integrated Logistics Services) ซึ่งเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ตั้งแต่วันที่ 5 พ.ย.2563 ราคาไอพีโออยู่ที่ 3.42 บาท/หุ้น
ราคาย้อนหลัง 52 สัปดาห์ ทำสถิติสูงสุดที่ 16 บาท/หุ้น ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น 367.83% สะท้อนผลประกอบการที่สร้างสถิติสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของรายได้และกำไร
ผลประกอบการที่เติบโตอย่างโดดเด่น คงต้องยกนิ้วให้กับผู้บริหาร “เกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) (LEO) ที่ขยันหางานเพิ่ม เพื่อขยายฐานลูกค้า และเพิ่มแหล่งที่มาของรายได้ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าซื้อกิจการ การร่วมลงทุนกับพันธมิตร ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อต่อยอดธุรกิจ ผลักดันแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วง 1-3 ปี ข้างหน้าสร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง
“แผนการดำเนินธุรกิจในปี 2566 LEO ตั้งเป้าเป็นปีแห่งก้าวสู่ความเป็นบริษัท Blue Chip Stock ของผู้ให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจรที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดและยั่งยืน”
LEO วางเป้าการเติบโตของ Gross Profit Margin ในปี 2566 เพิ่มขึ้น 15-20% จากปีก่อน เน้นการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่เป็น Non Freight และมีกำไรขั้นต้นมากกว่า 40-45% เช่น Self Storage,Container Depot, Warehouse & Logistics Center และ Cold Chain Logistics โดยจะร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อพัฒนาโครงการ ใหม่ๆ เช่น การเปิด Self Storage สาขาที่ 3
และพัฒนาโครงการ Warehouse & Logistics Center ร่วมกับ บริษัท เอชเค แอสเซท แมเนจเมนท์ จำกัด ในเครือ บริษัท เสนา ดีเวลอบเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA , การพัฒนาธุรกิจ Cold Chain Logistics กับบริษัท สหไทย เทอร์มินัล จำกัด (มหาชน) หรือ PORT
รวมถึงในปี 2566 นี้บริษัทฯ จะมีการเปิดบริการ Self Storage แห่งที่ 4 และลานเก็บตู้คอนเทนเนอร์ (Container Depot) แห่งที่ 2 ซึ่งเมื่อรวมรายได้จากบริษัท JV ใหม่ที่เกิดขึ้นและการขยายงานของทางบริษัทเองก็จะทำให้รายได้ของธุรกิจ Non-Freight ของบริษัทฯ มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า
นอกจากนี้ทางบริษัทฯ มีความพร้อมในการพัฒนาและทำการตลาดการขนส่งสินค้าทางรถไฟระหว่างไทย - จีน แบบ End-to-End กับบริษัท เบาไทย อินเด็กซ์ แอสโซซิเอท จำกัด และ บริษัท ศรีตรังโลจิสติกส์ จำกัด ภายใต้ชื่อ บริษัท ล้านช้าง เอ๊กซ์เพรส จำกัด
และปัจจุบันกำลังทำการศึกษาที่จะจัดตั้งบริษัท JV อีกหนึ่งบริษัทเพื่อลงทุนในระบบการขนส่งสินค้า Cold Chain ไปยังประเทศจีนทางรถไฟ เพื่อรองรับการส่งออกสินค้าผลไม้จากไทยไปจีนทางบกที่มีปริมาณสูงถึง 420,000 ตันต่อปี และมีมูลค่าส่งออกมากกว่า 3.3 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ทาง LEO มีความพร้อมที่สุดในแง่ของเครือข่าย ระบบ และ โครงสร้างพื้นฐาน ที่จะให้การบริการขนส่งสินค้าทางรถไฟไปยังประเทศจีนสำหรับฤดูกาลส่งออกผลไม้ของปี 2566 ด้วยโครงสร้างราคาที่ดีกว่าผู้ประกอบการรายอื่นๆ
นอกจากนี้ บริษัทฯ ก็ยังมีการพัฒนาธุรกิจใหม่ๆ ที่เป็น Non Logistics โดยจะทำการต่อยอดธุรกิจกัญชงและกัญชาที่ได้มีการลงนาม MOU กับทางวิสาหกิจชุนชนสุขฤทัย และบริษัท แคนบิซ จำกัด ให้สามารถพัฒนาขึ้นมาเป็นธุรกิจใหม่และสร้างรายได้ให้กับทางบริษัทฯในอนาคตอันใกล้
รวมถึงการพัฒนาธุรกิจการเป็นตัวแทนในการซื้อสินค้าจากประเทศไทยเพื่อส่งให้ E-commerce Platform ของ China Post และ Tengjin ภายใต้ชื่อ บริษัท ลีโอ ซอร์สซิ่ง แอนด์ ซัพพลายเชน จำกัด ที่ปัจจุบันมีคำสั่งซื้อสินค้าที่เป็นทุเรียนและผลไม้อื่นๆเข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยบริษัทฯเชื่อว่าธุรกิจ Non Freight และ Non-Logistics ใหม่ทั้งหมดนี้จะสามารถมาช่วยทดแทนรายได้ค่าระวางเรือที่เริ่มปรับตัวลดลงตามแนวโน้มอุตสาหกรรมได้เป็นอย่างดี
อีกทั้ง บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าเรื่องการเจรจาเพื่อซื้อกิจการ (M&A) กับพันธมิตรที่เป็นบริษัทชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประเทศกัมพูชา แคนาดา เบลเยี่ยม สิงคโปร์ และสาธารณรัฐประชาชนจีน อีกหลายโครงการ คาดว่าจะมีความชัดเจนในไตรมาส 1-2/2566 และสามารถสรุปได้ภายในไตรมาสที่ 3/2566 ซึ่งการ M&A หลายๆ โครงการนี้ จะสนับสนุนการเติบโตทั้งในด้านธุรกิจและรายได้อย่างก้าวกระโดด โดยบริษัทตั้งเป้าหมายที่จะมีรายได้ใหม่ๆที่เกิดจากธุรกิจ JV และ M&A ทั้งหมดนี้ จะมีรายได้ประมาณ 500-600 ล้านบาทในอีก 2-3 ปีข้างหน้า
ในอนาคตปี 2567 เราคงเห็น LEO ย้ายเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ตามเป้าหมายที่วางไว้ ในฐานะหนึ่งในหุ้น Blue Chip Stock ของธุรกิจผู้ให้บริการโลจิสติกส์อย่างครบวงจรในประเทศไทยที่มีการเติบโตยั่งยืน สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นได้อย่างสม่ำเสมอ...เห็นราคาหุ้นนิ่งๆ เดี๋ยวคงได้เวลาวิ่งแล้วละคราวนี้!
ถามถึงหุ้นไซส์เล็กที่มีสตอรี่ Growth ได้อย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ คงต้องยกนิ้วให้กับ บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) (LEO) ผู้นำธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์อย่างครบวงจรที่ครอบคลุมทั่วโลก (End - to - End Global Logistics Services) และให้บริการสนับสนุนการขนส่งสินค้าแบบครบวงจร (Integrated Logistics Services) ซึ่งเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ตั้งแต่วันที่ 5 พ.ย.2563 ราคาไอพีโออยู่ที่ 3.42 บาท/หุ้น
ราคาย้อนหลัง 52 สัปดาห์ ทำสถิติสูงสุดที่ 16 บาท/หุ้น ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น 367.83% สะท้อนผลประกอบการที่สร้างสถิติสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของรายได้และกำไร
ผลประกอบการที่เติบโตอย่างโดดเด่น คงต้องยกนิ้วให้กับผู้บริหาร “เกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) (LEO) ที่ขยันหางานเพิ่ม เพื่อขยายฐานลูกค้า และเพิ่มแหล่งที่มาของรายได้ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าซื้อกิจการ การร่วมลงทุนกับพันธมิตร ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อต่อยอดธุรกิจ ผลักดันแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วง 1-3 ปี ข้างหน้าสร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง
“แผนการดำเนินธุรกิจในปี 2566 LEO ตั้งเป้าเป็นปีแห่งก้าวสู่ความเป็นบริษัท Blue Chip Stock ของผู้ให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจรที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดและยั่งยืน”
LEO วางเป้าการเติบโตของ Gross Profit Margin ในปี 2566 เพิ่มขึ้น 15-20% จากปีก่อน เน้นการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่เป็น Non Freight และมีกำไรขั้นต้นมากกว่า 40-45% เช่น Self Storage,Container Depot, Warehouse & Logistics Center และ Cold Chain Logistics โดยจะร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อพัฒนาโครงการ ใหม่ๆ เช่น การเปิด Self Storage สาขาที่ 3
และพัฒนาโครงการ Warehouse & Logistics Center ร่วมกับ บริษัท เอชเค แอสเซท แมเนจเมนท์ จำกัด ในเครือ บริษัท เสนา ดีเวลอบเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA , การพัฒนาธุรกิจ Cold Chain Logistics กับบริษัท สหไทย เทอร์มินัล จำกัด (มหาชน) หรือ PORT
รวมถึงในปี 2566 นี้บริษัทฯ จะมีการเปิดบริการ Self Storage แห่งที่ 4 และลานเก็บตู้คอนเทนเนอร์ (Container Depot) แห่งที่ 2 ซึ่งเมื่อรวมรายได้จากบริษัท JV ใหม่ที่เกิดขึ้นและการขยายงานของทางบริษัทเองก็จะทำให้รายได้ของธุรกิจ Non-Freight ของบริษัทฯ มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า
นอกจากนี้ทางบริษัทฯ มีความพร้อมในการพัฒนาและทำการตลาดการขนส่งสินค้าทางรถไฟระหว่างไทย - จีน แบบ End-to-End กับบริษัท เบาไทย อินเด็กซ์ แอสโซซิเอท จำกัด และ บริษัท ศรีตรังโลจิสติกส์ จำกัด ภายใต้ชื่อ บริษัท ล้านช้าง เอ๊กซ์เพรส จำกัด
และปัจจุบันกำลังทำการศึกษาที่จะจัดตั้งบริษัท JV อีกหนึ่งบริษัทเพื่อลงทุนในระบบการขนส่งสินค้า Cold Chain ไปยังประเทศจีนทางรถไฟ เพื่อรองรับการส่งออกสินค้าผลไม้จากไทยไปจีนทางบกที่มีปริมาณสูงถึง 420,000 ตันต่อปี และมีมูลค่าส่งออกมากกว่า 3.3 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ทาง LEO มีความพร้อมที่สุดในแง่ของเครือข่าย ระบบ และ โครงสร้างพื้นฐาน ที่จะให้การบริการขนส่งสินค้าทางรถไฟไปยังประเทศจีนสำหรับฤดูกาลส่งออกผลไม้ของปี 2566 ด้วยโครงสร้างราคาที่ดีกว่าผู้ประกอบการรายอื่นๆ
นอกจากนี้ บริษัทฯ ก็ยังมีการพัฒนาธุรกิจใหม่ๆ ที่เป็น Non Logistics โดยจะทำการต่อยอดธุรกิจกัญชงและกัญชาที่ได้มีการลงนาม MOU กับทางวิสาหกิจชุนชนสุขฤทัย และบริษัท แคนบิซ จำกัด ให้สามารถพัฒนาขึ้นมาเป็นธุรกิจใหม่และสร้างรายได้ให้กับทางบริษัทฯในอนาคตอันใกล้
รวมถึงการพัฒนาธุรกิจการเป็นตัวแทนในการซื้อสินค้าจากประเทศไทยเพื่อส่งให้ E-commerce Platform ของ China Post และ Tengjin ภายใต้ชื่อ บริษัท ลีโอ ซอร์สซิ่ง แอนด์ ซัพพลายเชน จำกัด ที่ปัจจุบันมีคำสั่งซื้อสินค้าที่เป็นทุเรียนและผลไม้อื่นๆเข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยบริษัทฯเชื่อว่าธุรกิจ Non Freight และ Non-Logistics ใหม่ทั้งหมดนี้จะสามารถมาช่วยทดแทนรายได้ค่าระวางเรือที่เริ่มปรับตัวลดลงตามแนวโน้มอุตสาหกรรมได้เป็นอย่างดี
อีกทั้ง บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าเรื่องการเจรจาเพื่อซื้อกิจการ (M&A) กับพันธมิตรที่เป็นบริษัทชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประเทศกัมพูชา แคนาดา เบลเยี่ยม สิงคโปร์ และสาธารณรัฐประชาชนจีน อีกหลายโครงการ คาดว่าจะมีความชัดเจนในไตรมาส 1-2/2566 และสามารถสรุปได้ภายในไตรมาสที่ 3/2566 ซึ่งการ M&A หลายๆ โครงการนี้ จะสนับสนุนการเติบโตทั้งในด้านธุรกิจและรายได้อย่างก้าวกระโดด โดยบริษัทตั้งเป้าหมายที่จะมีรายได้ใหม่ๆที่เกิดจากธุรกิจ JV และ M&A ทั้งหมดนี้ จะมีรายได้ประมาณ 500-600 ล้านบาทในอีก 2-3 ปีข้างหน้า
ในอนาคตปี 2567 เราคงเห็น LEO ย้ายเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ตามเป้าหมายที่วางไว้ ในฐานะหนึ่งในหุ้น Blue Chip Stock ของธุรกิจผู้ให้บริการโลจิสติกส์อย่างครบวงจรในประเทศไทยที่มีการเติบโตยั่งยืน สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นได้อย่างสม่ำเสมอ...เห็นราคาหุ้นนิ่งๆ เดี๋ยวคงได้เวลาวิ่งแล้วละคราวนี้!