Smart Investment

4 กูรู! จัดทัพหุ้นเด่นประจำเดือนก.ค. ฝ่าวิกฤติบอนด์ยิลด์-การเมืองในประเทศ


07 กรกฎาคม 2566
Mr.Data

สถานการณ์ตลาดหุ้นโลกและตลาดหุ้นไทยยังไม่น่าไว้วางใจ วานนี้ (6 ก.ค.) หลุด 1,500 จุด ลงไปทดสอบจุดต่ำสุดที่ 1,486.49 จุด ลดลง 22 จุด  ปรับตัวลงสอดคล้องกับทิศทางตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่ปรับตัวลงตามกัน จากความกังวลการเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (Bond yield) ดีดตัวขึ้นกดดันบรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นทั่วโลก

เปิดคัมภีร์หุ้นเด่นเดือนก.ค.jpg

ขณะที่ปัจจัยในประเทศ ยังคงต้องติดตามสถานการณ์การเมืองในสัปดาห์หน้าที่จะมีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่

บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย เผยกลยุทธ์การลงทุนตลาดหุ้นไทยในเดือนก.ค. โดยแนะนำกลยุทธ์  “Bottom Fishing”  ในหุ้นที่ undervalued และมีแนวโน้มเติบโตดีในระยะยาว 

ในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยปรับตัวลง 11% YTD จากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศและการปรับลดกำไรต่อหุ้น (EPS) ของตลาดอย่างต่อเนื่อง (-14% YTD เป็น 93.5 จุด) ตามการส่งออกที่ลดลงและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ลดลง 

“เราแนะนำให้นักลงทุนเริ่ม “Bottom Fishing” เนื่องจากการประเมินมูลค่าปัจจุบันน่าสนใจด้วย PBV ที่ 1.41 เท่า (-1SD ของค่าเฉลี่ยในอดีต) ซึ่งเป็น PBV ที่ต่ำที่สุดเป็นอันดับสองในรอบ 10 ปี เทียบกับ PBV ที่ 1.21 เท่า (-2SD) ในช่วงที่มีโควิด-19 ระบาด เราคาดหวังความเป็นไปได้สองสถานการณ์หลังการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ หากรัฐบาลใหม่ที่เน้นนโยบายการเติบโตทางเศรษฐกิจ เราคาดจะเป็นผลดีต่อตลาดและน่าจะสนับสนุนเงินทุนไหลเข้าและสภาพคล่องของตลาด” 

บล.กสิกรไทย คาดว่าหุ้น Domestic Play จะมีผลงานดีกว่าหุ้น Global Play ภายใต้สถานการณ์นี้ ในทางตรงข้าม หากเรามีรัฐบาลที่มุ่งเน้นความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันมากกว่านโยบายการเติบโต เราคาดว่าตลาดหุ้นไทยจะแกว่งตัวลงต่อไป ประกอบกับการไหลออกของเงินทุนและสภาพคล่องที่เหือดแห้ง เราคาดว่าหุ้น Domestic Play จะมีผลงานแย่กว่าหุ้น Global Play ภายใต้สถานการณ์นี้

สำหรับปัจจัยขับเคลื่อนเชิงบวกและปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญในเดือนก.ค. 2566 ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญของตลาดหุ้นไทยในเดือน ก.ค. 2566 ได้แก่ 1) การหยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ยชั่วคราวของเฟดจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่อ่อนตัวลง เราคาดว่า Fed pivot จะเกิดขึ้นในครึ่งหลังของปี 2567 เมื่ออัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของสหรัฐฯ แตะระดับ 3% 2) การส่งออกไทยฟื้นตัวในครึ่งหลังของปี 2566 จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ดีขึ้นและอุปสงค์การเติมสต็อก 3) การบริโภคภายในประเทศที่ดีขึ้นจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว อัตราเงินเฟ้อที่ลดลง ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่สูงขึ้น และโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง และ 4) มูลค่าตลาดที่น่าสนใจเนื่องจากดัชนี SET ซื้อขายที่ PBV 1.41 เท่า (-1SD ของค่าเฉลี่ยในอดีต) 

ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญในเดือนก.ค. 2566 ได้แก่ 1) ความไม่แน่นอนทางการเมือง/การคลังที่จะชะลอการตัดสินใจลงทุนจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ที่มีลำดับความสำคัญของนโยบายที่ชัดเจน 2) ความกังวลต่อนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ 3) วิกฤตสภาพคล่องของพันธบัตรจากการผิดนัดชำระหนี้ของพันธบัตรของ STARK ซึ่งจะผลักดันให้นักลงทุนระมัดระวังในการเลือกพันธบัตรมากขึ้นและต้องส่วนชดเชยความเสี่ยงสูงขึ้น เราพบว่าการจองซื้อหุ้นกู้อันดับ BBB และ BB ลดลงอย่างมากในไตรมาส 2/2566

ธีมการลงทุนของ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย ได้แก่ หุ้นบริโภคในประเทศ (AEONTS, KTB, OSP, MAJOR, ADVANC) เราคาดว่าการบริโภคในประเทศจะเติบโตได้ดีจากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว อัตราเงินเฟ้อที่ลดลง ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่สูงขึ้น และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจหลังการเลือกตั้ง

หุ้นกลุ่มท่องเที่ยว (MINT, SNNP, AOT, CPN) โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นเป็น 28.5 ล้านคนในปี 2566 เทียบกับ 11.2 ล้านคนในปี 2565

หุ้นป้องกันความเสี่ยงจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นและความเสี่ยงจากภาวะเงินฝืด (PTTEP) เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากภาวะ stagflation

หุ้นส่งออก (HANA, GFPT, MEGA). การส่งออกไทยน่าจะฟื้นตัวในครึ่งหลังของปี 2566 จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ดีขึ้นและอุปสงค์การเติมสต็อกสินค้า

บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) มองแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในเดือนก.ค. ก.ค. ภาพรวมตลาดหุ้นไทยน่าจะเทรดผันผวน แต่ความเสี่ยงด้านล่างนั้นมีน้อยลง หลังจาก SET Index ปรับลงค่อนข้างแรงในช่วงปลายเดือน มิ.ย. โดยเรามองว่านักลงทุนส่วนหนึ่งอาจกลับเข้าเก็งกำไรหุ้นไทยมากขึ้น เพื่อรับข่าวการเลือกนายกรัฐมนตรี และการจัดตั้งรัฐบาล อย่างไรก็ดีแม้ดัชนี ๆ ฟื้นตัวก็ไม่น่าไปไกล เพราะ) หากฉากทัศน์ (Scenarios) ทางการเมืองออกมา

ตามที่ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินคือมีการเปลี่ยนขั้วตั้งรัฐบาล มีความเสี่ยงพอสมควรที่จะมีการชุมนุมทางการเมืองเกิดขึ้น และกดดันจิตวิทยาการลงทุนอีกครั้ง แ) ในส่วนของปัจจัยต่างประเทศ ยังมีแรงกดดันจากการที่ ธ.กลางหลักๆ เช่น US Fed และ ECB จะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกการประชุมเดือน ก.ค. นี้ ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศฝั่งตะวันตกนั้น ภาพรวมน่าจะชะลอตัวลง และอาจเพิ่มความกังวลของนักลงทุนต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยอีกครั้งหนึ่ง.

ทั้งนี้ แม้ว่าฝ่ายวิจัยฯ ประเมินความเสี่ยงทางลงกรณีฐานไว้ที่ 1,485 จุด ซึ่งใกล้เคียงกับระดับของ SET Index ณ ปัจจุบัน แต่หากเกิดสถานการณ์การเมืองที่แย่กว่าคาด หรือเกิดความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลกที่รุนแรง มีโอกาสที่ SET Index จะปรับลงไปที่ระดับถัดไปที่อิงจากการคำนวณค่า earnings yield gap band ที่ประมาณ 1,420 จุด

กลยุทธ์การลงทุนตลาดหุ้นไทยเดือนก.ค. ฝ่ายวิจัย บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ยังแนะนำให้ใช้ความระมัดระวัง เนื่องจากพัฒนาการทางการเมืองคาดการณ์ได้ก่อนข้างยาก ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศไม่แน่นอนสูง ทั้งจากทิศทางดอกเบี้ยที่ยังเป็นขาขึ้น และการชะลอตัวของเศรษฐกิจของประเทศหลักๆ ส่งผลให้สินทรัพย์เสี่ยงยังมีความผันผวนสูง กลยุทธ์การลงทุนในช่วงสั้นจึงเน้นธีมเฉพาะตัว (bottom-up) ดังนี้ 1. ดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งกลุ่มธนาคารฯ ยังคงได้ประโยชน์ 2. ทางการจีนน่าจะต้องออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ซึ่งจะส่งผลดีต่อหุ้นที่เชื่อมโยงกับ Asian demand 3. แนวโน้มนักท่องเที่ยวจีนที่น่าจะเร่งตัวขึ้นอีกหลังจากทางการไทยเร่งเพิ่มหลุมจอดให้กับไฟลท์บินจากประเทศจีน และ 4. การฟื้นตัวของหุ้นกลุ่มอาหาร โดยเฉพาะใน segment ของไก่และข้าวโพด ซึ่งเห็นการฟื้นตัวของการส่งออกชัดเจน 

ทั้งนี้ หุ้นเด่นเดือน ก.ค. ประกอบด้วย BBL, IVL, SCGP, AAV, ERW, BAFS, GFPT และ SUN

บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ แนะนำกลยุทธ์ลงทุนประจำไตรมาส 3/66 ได้แก่ 1.กลุ่มที่อิงกับภาคการบริโภคภายในประเทศ ได้แก่ BBL, KTB, CPALL, CPAXT, BJC, CRC 2.กลุ่มที่อิงกับภาคการท่องเที่ยว ได้แก่ ERW, SPA, AU 3.กลุ่มโรงพยาบาลที่เตรียมจะผ่านพ้น Seasonal low ในช่วงไตรมาส 2 ได้แก่ BH, BDMS, BCH, CHG, PR9 4.กลุ่มพลังงานที่ราคาหุ้นปรับลงมามาก รับข่าวร้าย Earnings ที่อ่อนแอในไตรมาส 2 ไปแล้ว ได้แก่ BCP, IRPC, PTTGC, TOP 5.กลุ่มส่งออกอาหาร/เกษตรที่จะเห็นการฟื้นตัวของผลการดำเนินงานใน 2H23 ได้แก่ BTG, CPF, GFPT  และ  6.กลุ่มที่ Price in นโยบายทางการเมืองไปมากแล้วจน Valuation อยู่ในโซนที่น่าสนใจ ได้แก่ GULF, BGRIM, GPSC, TRUE

ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ แนะนำกลยุทธ์ลงทุนเดือนก.ค. เป็น 2 ส่วนแบบสมดุลระหว่างหุ้นเชิงรับและหุ้นเชิงรุก (Barbell Strategy) 1.หุ้นเชิงรับ บล.ทิสโก้ยังชอบหุ้นบลูชิพขนาดใหญ่ที่มีค่า Beta น้อยกว่า 1 ต่อเนื่องจากเดือนที่แล้ว เพราะน่าจะทนทานต่อความไม่แน่นอนของตลาดเดือนนี้ แนะนำ ADVANC, BBL, BDMS และCPALL และ 2.หุ้นเชิงรุก บล.ทิสโก้แนะนำหุ้นที่กำไรไตรมาส 2/2566 จะเติบโตได้และราคาปรับตัวลงลึกทำให้กลับมามี Upside น่าสนใจ แนะนำ EGCO, HANA, MENA และ SISB

"หุ้นเด่นของบล.ทิสโก้ในเดือนกรกฎาคม คือ ADVANC, BBL, BDMS, CPALL, EGCO, HANA,MENA และ SISB ด้านแนวรับสำคัญของ SET Index เดือนนี้อยู่ที่ 1,450- 1,460 จุด แนวรับถัดไปที่ 1,420- 1,430 จุด และแนวต้านสำคัญของ SET Index เดือนนี้อยู่ที่ 1,520-1,540 จุด และ 1,575 จุด ตามลำดับ"