กรุงศรีมองแนวโน้มเงินบาทครึ่งหลังของปี 2566 มีโอกาสแข็งค่า คาดสิ้นปี 2566 แตะ 33.75 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ส่วนจีดีพีโต 3.3% พร้อมนำเสนอ FX Digital Platform ช่วยลูกค้าบริหารจัดการความเสี่ยง ด้านอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ย ให้เป็นเรื่องง่ายขึ้นสำหรับลูกค้าทุกกลุ่ม
นางสาวรุ่ง สงวนเรือง ผู้อำนวยการอาวุโสสายงานวางแผนโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) (BAY) กล่าวว่า ภาพรวมสถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ จะเป็นปัจจัยชี้นำสำคัญสำหรับค่าเงิน โดยในช่วงครึ่งปีแรกเงินบาทเคลื่อนไหวในโซนอ่อนค่า แต่ยังเกาะกลุ่มไปกับสกุลเงินในภูมิภาค ขณะที่ความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจจีนถ่วงค่าเงินหยวนลง
ดังนั้น หากมองไปข้างหน้าในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 นี้ คาดการณ์ว่า แม้ธนาคารกลางชั้นนำของโลกยังยืนยันว่าการต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อยังเป็นเป้าหมายหลัก แต่จะเห็นว่าการคุมเข้มทางการเงินอย่างแข็งกร้าวในช่วงที่ผ่านมาจะบั่นทอนกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจนมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี โดยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยใกล้สุดทางแล้ว อย่างไรก็ดี เงินเฟ้อพื้นฐานซึ่งลดลงช้าจะส่งผลให้ดอกเบี้ยค้างอยู่ที่ระดับสูงต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง
ส่วนเงินบาทมีแนวโน้มผันผวนในทิศทางแข็งค่า คาดระดับการซื้อขายสิ้นปี 2023 ที่ราว 33.75 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ บนสมมติฐานที่ว่าสหรัฐฯ ใกล้ยุติการขึ้นดอกเบี้ย การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน รวมถึงสถานะดุลบัญชีเดินสะพัดที่ได้แรงส่งเชิงบวกจากภาคท่องเที่ยว นอกจากนี้ คาดว่าภาพการเมืองในประเทศจะมีความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งสามารถช่วยดึงดูดกระแสเงินทุนให้ไหลกลับเข้ามาในสินทรัพย์สกุลเงินบาท ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นในนโยบายด้านเศรษฐกิจและเสถียรภาพของรัฐบาลใหม่ด้วย สำหรับประเด็นเรื่องความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และการเหวี่ยงตัวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ยังต้องติดตามสถานการณ์ต่อเนื่อง
สำหรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย คาดคณะกรรมการนโยบายการเงิน จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกรอบในการประชุมครั้งหน้าแตะที่ 2.25% เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ยังลงช้า และ เพื่อสร้างความสามารถในการบริหารดอกเบี้ยในอนาคต ส่วนดอกเบี้ยเฟดจะจบสิ้นปีนี้ที่ 5.4% จากปัจจุบันที่ 5.1%
ส่วนเศรษฐกิจไทยปีนี้ (จีดีพี) คาดว่าจะเติบโต 3.3% โดยไตรมาส 1/66 อยู่ที่ 2.7% ขณะที่การส่งออกปีนี้ขยายตัว 0.5% แต่ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา การส่งออกติดลบ 5% ดังนั้นหากจะทำให้ส่งออกปีนี้พลิกกลับมาเป็นบวกได้ จะต้องมีมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 24,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน
นายฮิโรทากะ คุโรกิ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์มุ่งนำเสนอโซลูชันทางการเงินเพื่อช่วยสนับสนุนการขยายธุรกิจของลูกค้าทุกกลุ่มผ่าน 3 มุมมองหลัก ซึ่งได้แก่ Digitalization, ESG และ AEC ในมุมมองแรก Digitalization กรุงศรีพร้อมที่จะช่วยลูกค้าทุกกลุ่มในการดูแลและบริหารจัดการความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่มีความผันผวนผ่าน FX Digital Platform
โดยเริ่มต้นจาก Krungsri FX ซึ่งเป็นบัญชีทางการบน LINE แอปพลิเคชันที่ลูกค้าสามารถเช็กข่าวสารตลาดการเงินและประเด็นสำคัญทางเศรษฐกิจต่างๆ ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว โดยมีการนำเสนอทั้งในรูปแบบของบทวิเคราะห์ และคลิปวิดีโอ หลังจากนั้น ลูกค้าสามารถเข้าใช้บริการแพลตฟอร์มต่างๆ ของธนาคาร
ในมุมมองที่สอง ESG (Environment, Social and Governance) ในเดือนที่ผ่านมา ธนาคารได้ออกตราสารหนี้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Bond) และตราสารหนี้เพื่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรทางทะเล (Blue Bond) เป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยได้ระดมเงินทุนจาก IFC มูลค่า 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นับเป็นจำนวนเงินที่ออกตราสารหนี้ที่เกี่ยวข้องกับ ESG สูงสุดที่ธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทยเคยออกมา
ในมุมมองที่สาม AEC (ASEAN Economic Community) ธนาคารกรุงศรียังได้สนับสนุนการขยายธุรกิจของลูกค้าไปยังภูมิภาคอาเซียน ซึ่งการที่กรุงศรีเป็นสมาชิกของ MUFG ทำให้ธนาคารสามารถใช้เครือข่ายสาขาของ MUFG และธนาคารพันธมิตรที่ตั้งอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านในการให้บริการที่หลากหลายแก่ลูกค้าที่มีความต้องการในการซื้อขายเงินตราต่างประเทศเพื่อการชำระเงินในภูมิภาค
นางสาวรุ่ง สงวนเรือง ผู้อำนวยการอาวุโสสายงานวางแผนโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) (BAY) กล่าวว่า ภาพรวมสถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ จะเป็นปัจจัยชี้นำสำคัญสำหรับค่าเงิน โดยในช่วงครึ่งปีแรกเงินบาทเคลื่อนไหวในโซนอ่อนค่า แต่ยังเกาะกลุ่มไปกับสกุลเงินในภูมิภาค ขณะที่ความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจจีนถ่วงค่าเงินหยวนลง
ดังนั้น หากมองไปข้างหน้าในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 นี้ คาดการณ์ว่า แม้ธนาคารกลางชั้นนำของโลกยังยืนยันว่าการต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อยังเป็นเป้าหมายหลัก แต่จะเห็นว่าการคุมเข้มทางการเงินอย่างแข็งกร้าวในช่วงที่ผ่านมาจะบั่นทอนกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจนมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี โดยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยใกล้สุดทางแล้ว อย่างไรก็ดี เงินเฟ้อพื้นฐานซึ่งลดลงช้าจะส่งผลให้ดอกเบี้ยค้างอยู่ที่ระดับสูงต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง
ส่วนเงินบาทมีแนวโน้มผันผวนในทิศทางแข็งค่า คาดระดับการซื้อขายสิ้นปี 2023 ที่ราว 33.75 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ บนสมมติฐานที่ว่าสหรัฐฯ ใกล้ยุติการขึ้นดอกเบี้ย การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน รวมถึงสถานะดุลบัญชีเดินสะพัดที่ได้แรงส่งเชิงบวกจากภาคท่องเที่ยว นอกจากนี้ คาดว่าภาพการเมืองในประเทศจะมีความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งสามารถช่วยดึงดูดกระแสเงินทุนให้ไหลกลับเข้ามาในสินทรัพย์สกุลเงินบาท ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นในนโยบายด้านเศรษฐกิจและเสถียรภาพของรัฐบาลใหม่ด้วย สำหรับประเด็นเรื่องความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และการเหวี่ยงตัวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ยังต้องติดตามสถานการณ์ต่อเนื่อง
สำหรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย คาดคณะกรรมการนโยบายการเงิน จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกรอบในการประชุมครั้งหน้าแตะที่ 2.25% เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ยังลงช้า และ เพื่อสร้างความสามารถในการบริหารดอกเบี้ยในอนาคต ส่วนดอกเบี้ยเฟดจะจบสิ้นปีนี้ที่ 5.4% จากปัจจุบันที่ 5.1%
ส่วนเศรษฐกิจไทยปีนี้ (จีดีพี) คาดว่าจะเติบโต 3.3% โดยไตรมาส 1/66 อยู่ที่ 2.7% ขณะที่การส่งออกปีนี้ขยายตัว 0.5% แต่ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา การส่งออกติดลบ 5% ดังนั้นหากจะทำให้ส่งออกปีนี้พลิกกลับมาเป็นบวกได้ จะต้องมีมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 24,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน
นายฮิโรทากะ คุโรกิ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์มุ่งนำเสนอโซลูชันทางการเงินเพื่อช่วยสนับสนุนการขยายธุรกิจของลูกค้าทุกกลุ่มผ่าน 3 มุมมองหลัก ซึ่งได้แก่ Digitalization, ESG และ AEC ในมุมมองแรก Digitalization กรุงศรีพร้อมที่จะช่วยลูกค้าทุกกลุ่มในการดูแลและบริหารจัดการความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่มีความผันผวนผ่าน FX Digital Platform
โดยเริ่มต้นจาก Krungsri FX ซึ่งเป็นบัญชีทางการบน LINE แอปพลิเคชันที่ลูกค้าสามารถเช็กข่าวสารตลาดการเงินและประเด็นสำคัญทางเศรษฐกิจต่างๆ ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว โดยมีการนำเสนอทั้งในรูปแบบของบทวิเคราะห์ และคลิปวิดีโอ หลังจากนั้น ลูกค้าสามารถเข้าใช้บริการแพลตฟอร์มต่างๆ ของธนาคาร
ในมุมมองที่สอง ESG (Environment, Social and Governance) ในเดือนที่ผ่านมา ธนาคารได้ออกตราสารหนี้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Bond) และตราสารหนี้เพื่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรทางทะเล (Blue Bond) เป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยได้ระดมเงินทุนจาก IFC มูลค่า 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นับเป็นจำนวนเงินที่ออกตราสารหนี้ที่เกี่ยวข้องกับ ESG สูงสุดที่ธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทยเคยออกมา
ในมุมมองที่สาม AEC (ASEAN Economic Community) ธนาคารกรุงศรียังได้สนับสนุนการขยายธุรกิจของลูกค้าไปยังภูมิภาคอาเซียน ซึ่งการที่กรุงศรีเป็นสมาชิกของ MUFG ทำให้ธนาคารสามารถใช้เครือข่ายสาขาของ MUFG และธนาคารพันธมิตรที่ตั้งอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านในการให้บริการที่หลากหลายแก่ลูกค้าที่มีความต้องการในการซื้อขายเงินตราต่างประเทศเพื่อการชำระเงินในภูมิภาค