JMT ย้ำดำเนินธุรกิจแข็งแกร่งยังคงจัดเก็บหนี้ได้ตามแผน ไม่กังวลแม้หนี้ด้อยคุณภาพอายุเกิน 10 ปี ก็ยังคงติดตามหนี้ได้อย่างต่อเนื่อง เน้นการเจรจาติดตามหนี้มากกว่าการใช้กระบวนการทางกฎหมาย แย้ม Q2/2566 จัดเก็บกระแสเงินสดได้ตามเป้า ส่งผลงานทั้งปีตามแผน มั่นใจกำไรเข้าเป้า 30%
นายสุทธิรักษ์ ตรัยชิรอาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานบริษัทฯ ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหาร พอร์ตหนี้ที่ JMT ประมูลเข้ามามีเพิ่มขึ้น ส่งผลให้การรับรู้รายได้ของบริษัทฯ สูงขึ้น ขณะที่ ภาพรวมการจัดเก็บหนี้ (Cash Collection) สามารถทำได้ตามเป้าหมาย สำหรับวิธีในการดำเนินธุรกิจติดตามหนี้ของบริษัทฯ เน้นไปที่การเจรจากับลูกค้า ไม่เน้นการดำเนินการทางคดี โดยเข้าใจความต้องการและความสามารถในการจ่ายคืนของลูกค้า ย้ำพร้อมเป็นกลไกในการปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อสร้างลูกค้าที่มีเครดิตทางการเงินที่ดีคืนสู่อุตสาหกรรมทางการเงิน เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน
“การดำเนินการของบริษัทยังคงเป็นไปตามเป้าหมาย แนวโน้มไตรมาส 2/2566 มีทิศทางการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทเน้นไปที่การเจรจากับลูกค้า หาทางออกให้กับลูกค้าอย่างเหมาะสม การซื้อหนี้ในอดีตที่ผ่านมา JMT เข้าไปช่วยลูกค้าในการปรับโครงสร้างหนี้จำนวนมาก และสามารถกลับสู่อุตสาหกรรมการเงิน” นายสุทธิรักษ์ กล่าว
พร้อมประเมินทิศทางครึ่งปีหลัง 2566 จะเติบโตต่อเนื่อง สอดรับกับภาพรวมหนี้ด้อยคุณภาพในระบบส่งสัญญาณเพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2565 และคาดว่าจะพีคในปีนี้ และต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า จึงมองว่าสถาบันการเงินต่างๆ จะทยอยเปิดประมูลหนี้ด้อยคุณภาพออกมา ประกอบกับ สิ้นสุดมาตรการพักชำระ ส่งผลให้ภาพรวมหนี้ในระบบในปัจจุบันซึ่งอยู่ที่หลักแสนล้านบาท ยังมีโอกาสให้ JMT ซื้อหนี้เข้ามาบริหารเพิ่มเติม
ล่าสุด JMT ได้ประกาศปิดดีลซื้อหนี้ครั้งประวัติศาสตร์ รวมมูลค่าประมาณ 60,000 ล้านบาท ส่งผลให้ปัจจุบัน JMT มีพอร์ตบริหารหนี้รวมอยู่ที่ประมาณ 440,000 ล้านบาท นอกจากนี้ JMT อยู่ระหว่างการยื่นประมูลซื้อหนี้เพิ่มเติมอีกในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566 มุ่งเน้นหนี้ด้อยคุณภาพที่ไม่มีหลักประกัน (Unsecured Loan) เนื่องจาก สถานการณ์ของตลาดหนี้ด้อยคุณภาพจะยังคงมี Supply ออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทพร้อมจะเป็นพาร์ทเนอร์กับสถาบันการเงินทุกราย โดย JMT ตั้งเป้างบลงทุนซื้อหนี้ปีนี้อยู่ที่ประมาณ 10,000 – 15,000 ล้านบาท ทั้งหนี้ที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกัน และย้ำความมั่นใจเป้าหมายปีนี้ กำไรจะเติบโตในอัตราไม่ต่ำกว่า 30%
นายสุทธิรักษ์ ตรัยชิรอาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานบริษัทฯ ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหาร พอร์ตหนี้ที่ JMT ประมูลเข้ามามีเพิ่มขึ้น ส่งผลให้การรับรู้รายได้ของบริษัทฯ สูงขึ้น ขณะที่ ภาพรวมการจัดเก็บหนี้ (Cash Collection) สามารถทำได้ตามเป้าหมาย สำหรับวิธีในการดำเนินธุรกิจติดตามหนี้ของบริษัทฯ เน้นไปที่การเจรจากับลูกค้า ไม่เน้นการดำเนินการทางคดี โดยเข้าใจความต้องการและความสามารถในการจ่ายคืนของลูกค้า ย้ำพร้อมเป็นกลไกในการปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อสร้างลูกค้าที่มีเครดิตทางการเงินที่ดีคืนสู่อุตสาหกรรมทางการเงิน เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน
“การดำเนินการของบริษัทยังคงเป็นไปตามเป้าหมาย แนวโน้มไตรมาส 2/2566 มีทิศทางการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทเน้นไปที่การเจรจากับลูกค้า หาทางออกให้กับลูกค้าอย่างเหมาะสม การซื้อหนี้ในอดีตที่ผ่านมา JMT เข้าไปช่วยลูกค้าในการปรับโครงสร้างหนี้จำนวนมาก และสามารถกลับสู่อุตสาหกรรมการเงิน” นายสุทธิรักษ์ กล่าว
พร้อมประเมินทิศทางครึ่งปีหลัง 2566 จะเติบโตต่อเนื่อง สอดรับกับภาพรวมหนี้ด้อยคุณภาพในระบบส่งสัญญาณเพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2565 และคาดว่าจะพีคในปีนี้ และต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า จึงมองว่าสถาบันการเงินต่างๆ จะทยอยเปิดประมูลหนี้ด้อยคุณภาพออกมา ประกอบกับ สิ้นสุดมาตรการพักชำระ ส่งผลให้ภาพรวมหนี้ในระบบในปัจจุบันซึ่งอยู่ที่หลักแสนล้านบาท ยังมีโอกาสให้ JMT ซื้อหนี้เข้ามาบริหารเพิ่มเติม
ล่าสุด JMT ได้ประกาศปิดดีลซื้อหนี้ครั้งประวัติศาสตร์ รวมมูลค่าประมาณ 60,000 ล้านบาท ส่งผลให้ปัจจุบัน JMT มีพอร์ตบริหารหนี้รวมอยู่ที่ประมาณ 440,000 ล้านบาท นอกจากนี้ JMT อยู่ระหว่างการยื่นประมูลซื้อหนี้เพิ่มเติมอีกในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566 มุ่งเน้นหนี้ด้อยคุณภาพที่ไม่มีหลักประกัน (Unsecured Loan) เนื่องจาก สถานการณ์ของตลาดหนี้ด้อยคุณภาพจะยังคงมี Supply ออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทพร้อมจะเป็นพาร์ทเนอร์กับสถาบันการเงินทุกราย โดย JMT ตั้งเป้างบลงทุนซื้อหนี้ปีนี้อยู่ที่ประมาณ 10,000 – 15,000 ล้านบาท ทั้งหนี้ที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกัน และย้ำความมั่นใจเป้าหมายปีนี้ กำไรจะเติบโตในอัตราไม่ต่ำกว่า 30%