เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) ร่วมกับสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (Federation of Thai Capital Market Organization) จัดงานสัมมนา “จัดทัพลงทุนต้อนรับรัฐบาลใหม่ ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกผันผวน” ณ ห้องประชุมศุกรีย์ แก้วเจริญ ชั้น 3 อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยของFED ทำให้เกิดผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจชะลอไม่เท่ากันในแต่ละประเทศ โดยเอเชียได้รับผลกระทบน้อยเมื่อเทียบกับสหรัฐฯ EU และละตินอเมริกา ทั้งนี้เนื่องจากเงินเฟ้อสหรัฐฯ ยังอยู่ในระดับสูงจึงคาดว่า FED จะยังคงขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 - 2 ครั้งซึ่งย่อมส่งผลให้ตลาดการเงินผันผวน มีโอกาสสูงที่ในปีหน้าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยซึ่งจะส่งผลกระทบไปทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย โดยเศรษฐกิจไทยอาจโดนผลกระทบบ้างแต่น่าจะผ่านไปได้ คาดว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยน่าจะขยายตัว 2.7-3.7%
สำหรับทิศทางเศรษฐกิจของไทยภายใต้รัฐบาลใหม่จะขึ้นอยู่กับพรรคการเมืองใหญ่ที่จะได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลที่จะส่งผลอย่างมากต่อการกำหนดนโยบาย อย่างไรก็ดี ไม่ว่ารัฐบาลใหม่จะมีหน้าตาอย่างไร เศรษฐกิจไทยมีความท้าทายในด้านต่าง ๆ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลง Technology ที่มี AI เข้ามาแทนที่ และโครงการพัฒนาที่จะดึงดูดเงินลงทุนของต่างชาติเพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค
ในช่วงเสวนา “ปรับพอร์ตต้อนรับรัฐบาลใหม่ พร้อมรับมือเศรษฐกิจโลกถดถอย” ที่มีผู้ร่วมเสวนาจาก 3 องค์กรมาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความคิดเห็นต่อการลงทุน โดยคุณเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม
รองกรรมการผู้อำนวยการ บล.เอเซียพลัส กล่าวว่าตลาดหุ้นไทยในครึ่งหลังของปี 2023 มีโอกาส Upside แคบๆ เนื่องจากกำไรของบริษัทจดทะเบียนปี 2022 ไม่สูงนัก และมีแรงกัดดันจากการปรับขึ้นดอกเบี้ย รวมถึงปัจจัยทางการเมืองซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบมากที่สุดเนื่องจากตลาดไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะมีนโยบายไปในทิศทางใด จึงยังไม่สามารถ price in ความเสี่ยงทางการเมืองได้ ทั้งนี้เศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในช่วงรอยต่อของการคลายความกังวลการขึ้นอัตราดอกเบี้ยแต่เริ่มมีความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย กลุ่มอุตสาหกรรม (sector) ที่มีความน่าสนใจให้เข้าลงทุนในช่วงนี้จึงเป็นกลุ่มที่เกี่ยวกับ Consumption ที่กลับมาฟื้นตัวได้ดี เช่น กลุ่มค้าปลีก Finance ธนาคาร ธุรกิจสื่อ และอาหาร
ดร.สมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) กล่าวว่าในช่วงครึ่งปีแรกอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยรุ่นต่ำกว่า 10 ปี ปรับตัวสูงขึ้นตามการคาดการณ์ดอกเบี้ยนโยบาย ในขณะที่อายุตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไปมีการปรับตัวลดลงจากการรับรู้แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อในอนาคต สอดคล้องกับผลสำรวจของ ThaiBMA ที่ผู้ร่วมตลาดคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก 1 ครั้ง จาก 2.00% เป็น 2.25% ในครึ่งหลังของปี 2023 และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยรุ่นอายุ 5 ปี และ 10 ปี จะมีการปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 10 – 15 bsp. ทั้งนี้แนะนำให้นักลงทุนควรวางแผนการลงทุนที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การลงทุนและควรมีการกระจายความเสี่ยงโดยไม่กระจุกตัวในตราสารหนี้ตัวใดตัวหนึ่งมากเกินไป นอกจากนี้ หุ้นกู้มักมีสภาพคล่องไม่สูงจึงควรเลือกลงทุนหุ้นกู้ที่สามารถถือได้จนครบอายุเพื่อลดความเสี่ยงสภาพคล่อง
คุณชยนนท์ รักกาญจนันท์ (Mr. Messenger) ผู้บริหารสูงสุดสายงาน Wealth Management บลน. ฟินโนมีนา มองว่าตั้งแต่ต้นปี 2023 เป็นต้นมา NASDAQ ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดที่ 15% เนื่องจากมีหลายบริษัทที่มีการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวขัองกับ AI โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ 7 ตัว ประกอบกับคาดว่าสหรัฐฐ ไม่น่าจะเกิด recession ในปีนี้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนให้หุ้นสหรัฐฯ ขึ้นต่อได้ ดังนั้นนักลงทุนควรเน้นการลงทุนในกองทุนที่เกี่ยวข้องกับ AI ที่น่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีต่อเนื่อง โดยนักลงทุนที่กังวลเศรษฐกิจถดถอย
สามารถลงทุนในกองทุนหุ้นกลุ่ม Defensive และสำหรับผู้ลงทุนที่ชอบตราสารหนี้ มองว่าตอนนี้เป็นโอกาสดีที่จะลงทุนในตราสารหนี้ กองทุนตราสารหนี้มี upside ที่น่าสนใจเนื่องจากบทศึกษาของ PIMCO ที่มีข้อมูลสถิติชี้ให้เห็นว่าหลังจากเกิดวิกฤติ yield ของตราสารหนี้มักสูงขึ้นและจะลดต่ำลง ทำให้มี capital gain จากการลงทุนในตราสารหนี้ ทั้งนี้แนะนำให้เน้นลงทุนในตราสารหนี้กลุ่ม Investment grade
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยของFED ทำให้เกิดผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจชะลอไม่เท่ากันในแต่ละประเทศ โดยเอเชียได้รับผลกระทบน้อยเมื่อเทียบกับสหรัฐฯ EU และละตินอเมริกา ทั้งนี้เนื่องจากเงินเฟ้อสหรัฐฯ ยังอยู่ในระดับสูงจึงคาดว่า FED จะยังคงขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 - 2 ครั้งซึ่งย่อมส่งผลให้ตลาดการเงินผันผวน มีโอกาสสูงที่ในปีหน้าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยซึ่งจะส่งผลกระทบไปทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย โดยเศรษฐกิจไทยอาจโดนผลกระทบบ้างแต่น่าจะผ่านไปได้ คาดว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยน่าจะขยายตัว 2.7-3.7%
สำหรับทิศทางเศรษฐกิจของไทยภายใต้รัฐบาลใหม่จะขึ้นอยู่กับพรรคการเมืองใหญ่ที่จะได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลที่จะส่งผลอย่างมากต่อการกำหนดนโยบาย อย่างไรก็ดี ไม่ว่ารัฐบาลใหม่จะมีหน้าตาอย่างไร เศรษฐกิจไทยมีความท้าทายในด้านต่าง ๆ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลง Technology ที่มี AI เข้ามาแทนที่ และโครงการพัฒนาที่จะดึงดูดเงินลงทุนของต่างชาติเพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค
ในช่วงเสวนา “ปรับพอร์ตต้อนรับรัฐบาลใหม่ พร้อมรับมือเศรษฐกิจโลกถดถอย” ที่มีผู้ร่วมเสวนาจาก 3 องค์กรมาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความคิดเห็นต่อการลงทุน โดยคุณเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม
รองกรรมการผู้อำนวยการ บล.เอเซียพลัส กล่าวว่าตลาดหุ้นไทยในครึ่งหลังของปี 2023 มีโอกาส Upside แคบๆ เนื่องจากกำไรของบริษัทจดทะเบียนปี 2022 ไม่สูงนัก และมีแรงกัดดันจากการปรับขึ้นดอกเบี้ย รวมถึงปัจจัยทางการเมืองซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบมากที่สุดเนื่องจากตลาดไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะมีนโยบายไปในทิศทางใด จึงยังไม่สามารถ price in ความเสี่ยงทางการเมืองได้ ทั้งนี้เศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในช่วงรอยต่อของการคลายความกังวลการขึ้นอัตราดอกเบี้ยแต่เริ่มมีความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย กลุ่มอุตสาหกรรม (sector) ที่มีความน่าสนใจให้เข้าลงทุนในช่วงนี้จึงเป็นกลุ่มที่เกี่ยวกับ Consumption ที่กลับมาฟื้นตัวได้ดี เช่น กลุ่มค้าปลีก Finance ธนาคาร ธุรกิจสื่อ และอาหาร
ดร.สมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) กล่าวว่าในช่วงครึ่งปีแรกอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยรุ่นต่ำกว่า 10 ปี ปรับตัวสูงขึ้นตามการคาดการณ์ดอกเบี้ยนโยบาย ในขณะที่อายุตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไปมีการปรับตัวลดลงจากการรับรู้แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อในอนาคต สอดคล้องกับผลสำรวจของ ThaiBMA ที่ผู้ร่วมตลาดคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก 1 ครั้ง จาก 2.00% เป็น 2.25% ในครึ่งหลังของปี 2023 และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยรุ่นอายุ 5 ปี และ 10 ปี จะมีการปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 10 – 15 bsp. ทั้งนี้แนะนำให้นักลงทุนควรวางแผนการลงทุนที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การลงทุนและควรมีการกระจายความเสี่ยงโดยไม่กระจุกตัวในตราสารหนี้ตัวใดตัวหนึ่งมากเกินไป นอกจากนี้ หุ้นกู้มักมีสภาพคล่องไม่สูงจึงควรเลือกลงทุนหุ้นกู้ที่สามารถถือได้จนครบอายุเพื่อลดความเสี่ยงสภาพคล่อง
คุณชยนนท์ รักกาญจนันท์ (Mr. Messenger) ผู้บริหารสูงสุดสายงาน Wealth Management บลน. ฟินโนมีนา มองว่าตั้งแต่ต้นปี 2023 เป็นต้นมา NASDAQ ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดที่ 15% เนื่องจากมีหลายบริษัทที่มีการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวขัองกับ AI โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ 7 ตัว ประกอบกับคาดว่าสหรัฐฐ ไม่น่าจะเกิด recession ในปีนี้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนให้หุ้นสหรัฐฯ ขึ้นต่อได้ ดังนั้นนักลงทุนควรเน้นการลงทุนในกองทุนที่เกี่ยวข้องกับ AI ที่น่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีต่อเนื่อง โดยนักลงทุนที่กังวลเศรษฐกิจถดถอย
สามารถลงทุนในกองทุนหุ้นกลุ่ม Defensive และสำหรับผู้ลงทุนที่ชอบตราสารหนี้ มองว่าตอนนี้เป็นโอกาสดีที่จะลงทุนในตราสารหนี้ กองทุนตราสารหนี้มี upside ที่น่าสนใจเนื่องจากบทศึกษาของ PIMCO ที่มีข้อมูลสถิติชี้ให้เห็นว่าหลังจากเกิดวิกฤติ yield ของตราสารหนี้มักสูงขึ้นและจะลดต่ำลง ทำให้มี capital gain จากการลงทุนในตราสารหนี้ ทั้งนี้แนะนำให้เน้นลงทุนในตราสารหนี้กลุ่ม Investment grade
ยอดนิยม
_%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89%20S2T.jpg)
ค่าเงินบาทวันนี้ 13 มี.ค. 2568

กรุงศรี ออโต้ สานต่อความร่วมมือ ททท. เปิดตัวโครงการ "Start Your Journey to Grand Moment with Krungsri Auto"
.jpg)
“DITP” เปิดตัวโลโก้ใหม่ เสริมภาพลักษณ์การค้าระหว่างประเทศของไทย ภายใต้แนวคิด “3E CREATE POSSIBILITIES” ส่งเสริมผู้ประกอบการไทยสู่เวทีโลก

ราคาทองคำวันนี้ 13 มี.ค. 68 เปิดตลาดปรับขึ้นอีก 200 บาท รูปพรรณขายออก 47,700 บาท
