จับประเด็นหุ้นเด่น
รายงานพิเศษ : ความเชื่อมั่นผู้บริโภคพุ่งทำสถิติ กระตุ้นยอดขาย-รายได้ PJW แตะ10%
24 กรกฎาคม 2566
ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน มิ.ย. ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และทำสถิติสูงสุดรอบ 40 เดือน ผลจากท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว หนุนผลงาน บมจ. ปัญจวัฒนาพลาสติก (PJW) ปี 2566 โตตามเป้าหมายที่ 10%
ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผย ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนมิ.ย. 66 อยู่ที่ระดับ 56.7 ปรับตัวดีขึ้นจากในเดือนพ.ค. ที่ 55.7 ซึ่งเป็นการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 และอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 40 เดือนนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 63 เป็นต้นมา
ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม อยู่ที่ 51.2 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางาน อยู่ที่ 53.7 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่ 65.1 ซึ่งดัชนีทุกรายการปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
โดยปัจจัยบวกที่สำคัญ คือ 1. จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยมากขึ้น ส่งผลให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในประเทศ และกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆ ปรับตัวดีขึ้น 2. ราคาพืชผลทางการเกษตรหลายรายการปรับตัวดีขึ้น หรือทรงตัวในระดับที่ดีเกือบทุกรายการสำคัญ 3. ระดับราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศยังคงทรงตัวจากเดือนที่ผ่านมา และ 4. เงินบาทปรับตัวอ่อนค่าลงเล็กน้อย
ขณะที่ยังมีปัจจัยลบ ได้แก่ 1. ผู้บริโภครู้สึกว่าเศรษฐกิจยังฟื้นตัวช้า ตลอดจนปัญหาค่าครองชีพที่ยังอยู่ในระดับสูง 2. ความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนในการจัดตั้งรัฐบาล และเสถียรภาพทางการเมืองหลังการเลือกตั้ง 3. การส่งออกของไทยยังติดลบ 4. สถานการณ์เศรษฐกิจโลกและปัญหาสถาบันการเงินในสหรัฐฯ และ 5. สถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน
ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและทำสถิติสูงสุดใหม่ สะท้อนถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจของไทยที่ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อการใช้จ่ายและการบริโภคในประเทศ รวมทั้งธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ซึ่งนายวิวรรธน์ เหมมณฑารพ ประธานกรรมการบริหาร บมจ. ปัญจวัฒนาพลาสติก (PJW) ยอมรับภาพรวมการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังจะมีทิศทางที่ดีต่อเนื่อง
เนื่องจากภาครัฐเดินหน้านโยบายเปิดเมืองเต็มรูปแบบรวมถึงประเทศจีนเปิดประเทศได้เร็วกว่าที่คาดไว้ ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัวชัดเจน ส่งผลให้สินค้าหลักในกลุ่มบรรจุภัณฑ์พลาสติก ทั้งน้ำมันหล่อลื่น และนม กลับมาเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงยอดขายชิ้นส่วนยานยนต์ที่จะเพิ่มขึ้นจากการที่นิวโมเดลเข้ามาอย่างคึกคัก หลังจากที่ต้องเลื่อนออกไปจากสถานการณ์เซมิคอนดักเตอร์ขาดแคลนในช่วงที่ผ่านมา
"ในปี 2566 นี้ บริษัทได้วางงบลงทุนไว้ประมาณ 300 ล้านบาท ซึ่งแบ่งการลงทุนเป็น 3 ส่วน ได้แก่ กลุ่มธุรกิจลอนดรี้ โดยจะเป็นการลงทุนในเรื่องของระบบออโตเมชัน เพื่อประสิทธิภาพของเครื่องจักร ขณะที่ลงทุนในไลน์ผลิตในกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ ที่ปัจจุบันกำลังกลับมาฟื้นตัว และเชื่อว่าในอนาคตจะยังคงทิศทางที่เติบโตต่อเนื่อง และรองรับการขยายตัวของกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ในอนาคต ทั้งนี้ปัจจุบัน มี Backlog จากกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ต่อเนื่องไปถึงปี 2568 แล้ว" นายวิวรรธน์ กล่าว
ขณะเดียวกันบริษัทฯ ก็มีการบริหารจัดการต้นทุนที่ดีขึ้น ซึ่งมั่นใจว่าในปีนี้รายได้จะเติบโตระดับ 10% ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ โดยจะเร่งแผนการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเพื่อรักษาอัตรากำไรในภาวะที่ต้นทุนการผลิต ทั้งค่าแรงและค่าพลังงาน รวมไปถึงอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น
ขณะเดียวกัน บริษัทฯยังคงเดินหน้าที่จะเพิ่มช่องทางสร้างรายได้จากการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ เพื่อสร้าง New S-curve ผลักดันการเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด โดยอยู่ระหว่างเพิ่มสายการผลิตในส่วนผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ คาดจะเริ่มผลิตได้ภายในปีนี้ รวมทั้งยังคงเปิดโอกาสในการศึกษาและหา Synergy ร่วมกับพันธมิตรที่มีศักยภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในด้านผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์จากพลาสติกเพิ่มเติมอีกด้วย ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมาร์จิ้นสูง ดังนั้น น่าจะเป็นอีกธุรกิจที่จะสนับสนุนการเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดอย่างแน่นอน
ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผย ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนมิ.ย. 66 อยู่ที่ระดับ 56.7 ปรับตัวดีขึ้นจากในเดือนพ.ค. ที่ 55.7 ซึ่งเป็นการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 และอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 40 เดือนนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 63 เป็นต้นมา
ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม อยู่ที่ 51.2 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางาน อยู่ที่ 53.7 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่ 65.1 ซึ่งดัชนีทุกรายการปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
โดยปัจจัยบวกที่สำคัญ คือ 1. จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยมากขึ้น ส่งผลให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในประเทศ และกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆ ปรับตัวดีขึ้น 2. ราคาพืชผลทางการเกษตรหลายรายการปรับตัวดีขึ้น หรือทรงตัวในระดับที่ดีเกือบทุกรายการสำคัญ 3. ระดับราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศยังคงทรงตัวจากเดือนที่ผ่านมา และ 4. เงินบาทปรับตัวอ่อนค่าลงเล็กน้อย
ขณะที่ยังมีปัจจัยลบ ได้แก่ 1. ผู้บริโภครู้สึกว่าเศรษฐกิจยังฟื้นตัวช้า ตลอดจนปัญหาค่าครองชีพที่ยังอยู่ในระดับสูง 2. ความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนในการจัดตั้งรัฐบาล และเสถียรภาพทางการเมืองหลังการเลือกตั้ง 3. การส่งออกของไทยยังติดลบ 4. สถานการณ์เศรษฐกิจโลกและปัญหาสถาบันการเงินในสหรัฐฯ และ 5. สถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน
ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและทำสถิติสูงสุดใหม่ สะท้อนถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจของไทยที่ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อการใช้จ่ายและการบริโภคในประเทศ รวมทั้งธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ซึ่งนายวิวรรธน์ เหมมณฑารพ ประธานกรรมการบริหาร บมจ. ปัญจวัฒนาพลาสติก (PJW) ยอมรับภาพรวมการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังจะมีทิศทางที่ดีต่อเนื่อง
เนื่องจากภาครัฐเดินหน้านโยบายเปิดเมืองเต็มรูปแบบรวมถึงประเทศจีนเปิดประเทศได้เร็วกว่าที่คาดไว้ ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัวชัดเจน ส่งผลให้สินค้าหลักในกลุ่มบรรจุภัณฑ์พลาสติก ทั้งน้ำมันหล่อลื่น และนม กลับมาเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงยอดขายชิ้นส่วนยานยนต์ที่จะเพิ่มขึ้นจากการที่นิวโมเดลเข้ามาอย่างคึกคัก หลังจากที่ต้องเลื่อนออกไปจากสถานการณ์เซมิคอนดักเตอร์ขาดแคลนในช่วงที่ผ่านมา
"ในปี 2566 นี้ บริษัทได้วางงบลงทุนไว้ประมาณ 300 ล้านบาท ซึ่งแบ่งการลงทุนเป็น 3 ส่วน ได้แก่ กลุ่มธุรกิจลอนดรี้ โดยจะเป็นการลงทุนในเรื่องของระบบออโตเมชัน เพื่อประสิทธิภาพของเครื่องจักร ขณะที่ลงทุนในไลน์ผลิตในกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ ที่ปัจจุบันกำลังกลับมาฟื้นตัว และเชื่อว่าในอนาคตจะยังคงทิศทางที่เติบโตต่อเนื่อง และรองรับการขยายตัวของกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ในอนาคต ทั้งนี้ปัจจุบัน มี Backlog จากกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ต่อเนื่องไปถึงปี 2568 แล้ว" นายวิวรรธน์ กล่าว
ขณะเดียวกันบริษัทฯ ก็มีการบริหารจัดการต้นทุนที่ดีขึ้น ซึ่งมั่นใจว่าในปีนี้รายได้จะเติบโตระดับ 10% ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ โดยจะเร่งแผนการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเพื่อรักษาอัตรากำไรในภาวะที่ต้นทุนการผลิต ทั้งค่าแรงและค่าพลังงาน รวมไปถึงอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น
ขณะเดียวกัน บริษัทฯยังคงเดินหน้าที่จะเพิ่มช่องทางสร้างรายได้จากการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ เพื่อสร้าง New S-curve ผลักดันการเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด โดยอยู่ระหว่างเพิ่มสายการผลิตในส่วนผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ คาดจะเริ่มผลิตได้ภายในปีนี้ รวมทั้งยังคงเปิดโอกาสในการศึกษาและหา Synergy ร่วมกับพันธมิตรที่มีศักยภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในด้านผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์จากพลาสติกเพิ่มเติมอีกด้วย ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมาร์จิ้นสูง ดังนั้น น่าจะเป็นอีกธุรกิจที่จะสนับสนุนการเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดอย่างแน่นอน