Wealth Sharing
บล.ทรีนีตี้ ชี้ดัชนีหุ้นไทยส.ค.ผันผวน มองเป็นขาลง ยังไม่เห็นพัฒนาการเชิงบวก
02 สิงหาคม 2566
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางการลงทุนเดือนสิงหาคม 2566 ว่า สำหรับภาพตลาดหุ้นไทยในเดือนสิงหาคม ประเมินว่าจะผันแปรไปตามปัจจัยภายในประเทศอยู่ 3 ประเด็น ได้แก่ 1.แนวนโนบายการเงินและการส่งสัญญาณของกนง.ที่จะมีการประชุมกันในวันนี้ (2 สิงหาคม 2566 ) 2.พัฒนาการของปัจจัยการเมืองภายในประเทศ โดยเฉพาะการโหวตเลือกนายกฯคนใหม่ หากพรรคเพื่อไทยสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้โดยที่ไม่ได้มีพรรคก้าวไกลอยู่เป็นพรรคร่วม และไม่มีความวุ่นวายนอกสภาเกิดขึ้น คาดว่าจะเป็น Sentiment บวกต่อตลาดหุ้นในระยะสั้นได้ และ 3.การประกาศผลประกอบการประจำไตรมาส 2/66 และการปรับเปลี่ยนประมาณการของนักวิเคราะห์ ซึ่งล่าสุดยังคงเห็นสัญญาณการ Downgrade ต่อเนื่อง
ในเชิงกลยุทธ์ มองกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนี SET Index ในเดือนสิงหาคมอิงทางลง หลังดัชนีขึ้นมาใกล้ระดับดีสุดในวิธี PE Model ของทรีนีตี้ที่ 1560 จุด โดยที่ยังไม่เห็นพัฒนาการเชิงบวกใดๆทางปัจจัยพื้นฐาน แนะนำนักลงทุนที่จำเป็นต้องถือหุ้น ใช้จังหวะที่ SET Index ทะลุระดับ 1560 จุดขึ้นไป ทยอยเปิดสถานะ Short ในตราสาร Index futures เพื่อป้องกันความเสี่ยงของพอร์ตหากดัชนีมีการปรับตัวลงมาตามที่เราคาดไว้
สำหรับหุ้นที่อาจพอ Selective ในช่วงที่ดัชนีอยู่สูงเช่นนี้ มองไปยัง 2 กลุ่มที่มีผลการดำเนินงานผ่านพ้นจุดต่ำสุดในช่วงไตรมาส 2 ไปแล้ว อย่างเช่น 1. หากต้องการลงทุนไปตามโมเมนตัม มองไปยังกลุ่มโรงกลั่นที่ได้แรงหนุนจากค่าการกลั่นที่ปรับขึ้นสูง เช่น TOP, SPRC, BCP, IRPC, PTTGC 2. หากต้องการความปลอดภัย มองไปยังกลุ่มโรงพยาบาลที่ยังคงปรับตัว Laggard ตลาดในช่วงที่ผ่านมา เช่น BDMS, BH, BCH, CHG, PR9
ในเชิงกลยุทธ์ มองกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนี SET Index ในเดือนสิงหาคมอิงทางลง หลังดัชนีขึ้นมาใกล้ระดับดีสุดในวิธี PE Model ของทรีนีตี้ที่ 1560 จุด โดยที่ยังไม่เห็นพัฒนาการเชิงบวกใดๆทางปัจจัยพื้นฐาน แนะนำนักลงทุนที่จำเป็นต้องถือหุ้น ใช้จังหวะที่ SET Index ทะลุระดับ 1560 จุดขึ้นไป ทยอยเปิดสถานะ Short ในตราสาร Index futures เพื่อป้องกันความเสี่ยงของพอร์ตหากดัชนีมีการปรับตัวลงมาตามที่เราคาดไว้
สำหรับหุ้นที่อาจพอ Selective ในช่วงที่ดัชนีอยู่สูงเช่นนี้ มองไปยัง 2 กลุ่มที่มีผลการดำเนินงานผ่านพ้นจุดต่ำสุดในช่วงไตรมาส 2 ไปแล้ว อย่างเช่น 1. หากต้องการลงทุนไปตามโมเมนตัม มองไปยังกลุ่มโรงกลั่นที่ได้แรงหนุนจากค่าการกลั่นที่ปรับขึ้นสูง เช่น TOP, SPRC, BCP, IRPC, PTTGC 2. หากต้องการความปลอดภัย มองไปยังกลุ่มโรงพยาบาลที่ยังคงปรับตัว Laggard ตลาดในช่วงที่ผ่านมา เช่น BDMS, BH, BCH, CHG, PR9