Krungthai COMPASS และ SCB EIC คาดกนง.ปรับดบ.นโยบายอีก 0.25% สิ้นปี 2566 แตะที่ 2.50% หลังเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องในปี 2566 และ 2567 และหนุนดอกเบี้ยที่แท้จริงของไทยกลับมาเป็นบวก
![วงการธนาคารเชื่อกนง.ขึ้นดบ.นโยบาย.jpg](https://www.share2trade.com/storage/News%20Today/2023/030823/%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%98%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%99%E0%B8%87.%E0%B8%82%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%9A.%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A2.jpg)
Krungthai COMPASS ระบุว่า เมื่อวานนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงินหรือ กนง. มีมติเป็นเอกฉันท์ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 2.25% ต่อปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 9 ปี เนื่องจากเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องเข้าสู่ระดับศักยภาพ
ซึ่ง Krungthai COMPASS คาดว่า กนง. จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้นสู่ 2.5% ซึ่งจะเป็นระดับสูงสุดของวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น (Terminal rate) ในรอบนี้ สะท้อนจากมุมมองของ กนง. ที่ประเมินว่าเศรษฐกิจยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่อง ทั้งในปี 2566 และ 2567 และอัตราเงินเฟ้อจะทรงตัวอยู่ในระดับสูงกว่า 2% ทำให้มองว่าอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับสูงกว่า 2.25% ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงเป็นบวก
นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อยังมีความเสี่ยงด้านสูงจากต้นทุนราคาอาหารที่อาจปรับเพิ่มขึ้นหากปรากฎการณ์เอลนีโญรุนแรง และราคาอาหารโลกที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งมีแนวโน้มส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อของไทยอย่างมีนัย อย่างไรก็ตาม การประชุม กนง. ในครั้งหน้าขึ้นอยู่กับทิศทางเศรษฐกิจและความชัดเจนทางการเมือง
ขณะที่ SCB EIC คาดว่า กนง. จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 1 ครั้งในการประชุมเดือนกันยายนนี้ สู่ระดับ Terminal rate ที่ 2.5% และคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับดังกล่าว
SCB EIC คาดว่า กนง. จะเดินหน้าปรับนโยบายการเงินไทยให้กลับเข้าสู่ระดับปกติ (Monetary policy normalization) ที่เหมาะสมกับการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว ซึ่ง SCB EIC ประเมินว่า อัตราดอกเบี้ย Neutral rate ของไทยมีแนวโน้มอยู่ที่ 2.5% ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยอยู่ในระดับศักยภาพและอัตราเงินเฟ้ออยู่ในกรอบเป้าหมายที่ 1-3% ของ ธปท. อย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ การปรับนโยบายการเงินให้กลับเข้าสู่ระดับปกติจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real interest rate) ของไทยกลับมาเป็นบวกได้เช่นเดียวกับในช่วงก่อน COVID-19 หลังจากที่ติดลบต่อเนื่องในช่วงหลัง COVID-19 ที่ผ่านมา ซึ่งจะช่วยเสริมเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาวโดยการป้องกันการสะสมความไม่สมดุลทางการเงินที่เกิดจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำเป็นเวลานาน รวมทั้งจะช่วยรักษาขีดความสามารถของนโยบายการเงิน (Policy space) ในการรองรับความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้าที่อยู่ในระดับสูง
![วงการธนาคารเชื่อกนง.ขึ้นดบ.นโยบาย.jpg](https://www.share2trade.com/storage/News%20Today/2023/030823/%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%98%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%99%E0%B8%87.%E0%B8%82%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%9A.%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A2.jpg)
Krungthai COMPASS ระบุว่า เมื่อวานนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงินหรือ กนง. มีมติเป็นเอกฉันท์ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 2.25% ต่อปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 9 ปี เนื่องจากเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องเข้าสู่ระดับศักยภาพ
ซึ่ง Krungthai COMPASS คาดว่า กนง. จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้นสู่ 2.5% ซึ่งจะเป็นระดับสูงสุดของวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น (Terminal rate) ในรอบนี้ สะท้อนจากมุมมองของ กนง. ที่ประเมินว่าเศรษฐกิจยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่อง ทั้งในปี 2566 และ 2567 และอัตราเงินเฟ้อจะทรงตัวอยู่ในระดับสูงกว่า 2% ทำให้มองว่าอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับสูงกว่า 2.25% ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงเป็นบวก
นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อยังมีความเสี่ยงด้านสูงจากต้นทุนราคาอาหารที่อาจปรับเพิ่มขึ้นหากปรากฎการณ์เอลนีโญรุนแรง และราคาอาหารโลกที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งมีแนวโน้มส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อของไทยอย่างมีนัย อย่างไรก็ตาม การประชุม กนง. ในครั้งหน้าขึ้นอยู่กับทิศทางเศรษฐกิจและความชัดเจนทางการเมือง
ขณะที่ SCB EIC คาดว่า กนง. จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 1 ครั้งในการประชุมเดือนกันยายนนี้ สู่ระดับ Terminal rate ที่ 2.5% และคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับดังกล่าว
SCB EIC คาดว่า กนง. จะเดินหน้าปรับนโยบายการเงินไทยให้กลับเข้าสู่ระดับปกติ (Monetary policy normalization) ที่เหมาะสมกับการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว ซึ่ง SCB EIC ประเมินว่า อัตราดอกเบี้ย Neutral rate ของไทยมีแนวโน้มอยู่ที่ 2.5% ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยอยู่ในระดับศักยภาพและอัตราเงินเฟ้ออยู่ในกรอบเป้าหมายที่ 1-3% ของ ธปท. อย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ การปรับนโยบายการเงินให้กลับเข้าสู่ระดับปกติจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real interest rate) ของไทยกลับมาเป็นบวกได้เช่นเดียวกับในช่วงก่อน COVID-19 หลังจากที่ติดลบต่อเนื่องในช่วงหลัง COVID-19 ที่ผ่านมา ซึ่งจะช่วยเสริมเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาวโดยการป้องกันการสะสมความไม่สมดุลทางการเงินที่เกิดจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำเป็นเวลานาน รวมทั้งจะช่วยรักษาขีดความสามารถของนโยบายการเงิน (Policy space) ในการรองรับความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้าที่อยู่ในระดับสูง