by.พูเมซ่า
ภาพรวมตลาดหุ้นไทยเริ่มสัปดาห์แรกในเดือนสิงหาคม 2566 ดัชนีหุ้นผันผวนและอยู่ในทิศทางขาลง ซึ่งปัจจัยที่ยังกดดันบรรยากาศการลงทุนเป็นเรื่องสถานการณ์ทางการเมืองทียืดเยื้อและไม่มีความชัดเจนต่อเนื่อง โดยบล.เอเซียพลัสระบุว่าเริ่มต้นเดือน ส.ค. ตลาดหุ้นไทยกลับมาเผชิญกับช่วงสูญญากาศทางการเมืองอีกครั้ง และยังเป็นช่วงประกาศงบการเงินงวด 2Q66 ซึ่งฝ่ายวิจัยฯประเมินว่าจะลดลงทั้ง QoQ และ YoY ส่งผลให้ SET Index ปรับตัวลง -2.4%(mtd) จาก 1556 จุด ลงมาเหลือ 1518 จุด พร้อมกับ Fund Flow ต่างชาติที่ไหลออก -1.17 หมื่นล้านบาท(mtd)
หากดูรายละเอียดในหุ้นขนาดใหญ่ พบว่า หุ้นที่ลงแรงๆ ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นถูกกดดันจากสูญญากาศทางการเมือง แต่หุ้นที่ Outperform หรือแข็งแรงกว่าตลาดในช่วงนี้เป็นหุ้น Defensive อย่างหุ้นโรงพยาบาล, หุ้น Earning Momentum และหุ้นอิงกับราคา Commodity ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ แนะนำเอนเอียงน้ำหนักมาที่ 1). หุ้นอิงกับราคา Commodity เป็นหลัก ชอบ PTTEP PTTGC TOP 2). หุ้น Defesive ปันผลสูง ADVANC SCB AP 3). หุ้น Earning Momentum PLANB ERW ส่วนหุ้นอิงกับประเด็นทางการเมือง หากย่อตัวลงมาลึกและนำค่อยๆ ทยอยสะสมในช่วงใกล้กับการโหวตนายกฯอีกครั้งหนึ่ง
สรุป ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินภาพการเมืองมีสัญญาณที่ดีขึ้น แต่มีความผันผวนอยู่บ้างจากที่ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาร้องปมเสนอชื่อ “พิธา” ซ้ำ ผิดญัตติหรือไม่ ดังนั้นช่วงเวลาดังกล่าวคาดเห็น Flow ต่างชาติยังไม่ซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยอย่างมีนัยฯ และมีโอกาสเห็นตลาดหุ้นไทยแกว่งผันผวนในกรอบแคบช่วง 2 สัปดาห์นี้ โดยวันนี้มองกรอบการเคลื่อนไหวของ SET Index 1510-1535 จุด
จากการรวบรวมข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในส่วนการลงทุนของ "ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา"ในฐานะนักลงทุนหุ้นคุณค่าหรือVI ซึ่งปัจจุบันมีการลงทุนในหุ้นจำนวน 8 บริษัท มีมูลค่าการถือครองรวมประมาณ 2.2 พันล้านบาท ประกอบด้วย
หุ้น |
จำนวน (หุ้น) |
%การถือครอง |
มูลค่า (บาท) |
ASN |
5,756,100 |
3.07 |
11,972,688 |
CHAYO |
69,854,837 |
6.39 |
509,940,310 |
JMT |
26,704,014 |
1.83 |
981,372,515 |
KLINIQ |
10,168,982 |
4.62 |
388,963,562 |
MANRIN |
758,600 |
2.82 |
21,620,100 |
MASTER |
3,629,800 |
1.51 |
262,253,050 |
THREL |
15,552,400 |
2.59 |
50,389,776 |
มูลค่ารวม |
|
|
2,226,512,000.10 |
ทั้งนี้ หากพิจารณาหุ้นที่ "ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา" ถือครอง ในรอบปี 2565 มีหุ้นที่จ่ายเงินปันผลเป็นเงินสด จำนวน 4 บริษัท ซึ่งทำให้บุคคลดังกล่าวได้รับเงินปันผลเป็นเงินสดมูลค่ารวม 22 ล้านบาท ดังนี้
หุ้น |
จำนวน(หุ้น) |
อัตราเงินปันผล(บ./หุ้น) |
มูลค่าเงินปันผล(บาท) |
CHAYO |
69,854,837 |
0.00111 |
77,539 |
JMT |
26,704,014 |
0.59 |
15,755,368 |
KLINIQ |
10,168,982 |
0.5 |
5,084,491 |
THREL |
15,552,400 |
0.07 |
1,088,668 |
|
|
|
|
|
|
|
22,006,066 |
สำหรับหุ้นJMT เป็นหุ้นที่"ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา" มีฐานะเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 4 ถือครองหุ้นจำนวน 26,704,014 หุ้น โดยโครงสร้างผู้ถือหุ้นล่าสุดประกอบด้วย
รายชื่อผู้ถือหุ้น |
จำนวนหุ้น (หุ้น) |
%หุ้น |
เจ มาร์ท |
782,713,904 |
53.63 |
ไทยเอ็นวีดีอาร์ |
76,567,081 |
5.25 |
กองทุนเปิด บัวหลวงหุ้นระยะยาว |
35,936,700 |
2.46 |
ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา |
26,704,014 |
1.83 |
กองทุนเปิด บัวหลวงทศพล |
17,641,500 |
1.21 |
กองทุนเปิด บัวหลวงหุ้นระยะยาว 75/25 |
16,540,300 |
1.13 |
พิชญ์สินี เสรีวิวัฒนา |
16,125,569 |
1.1 |
กองทุนเปิด บัวหลวงเฟล็กซิเบิ้ลเพื่อการเลี้ยงชีพ |
14,130,200 |
0.97 |
สมควร ชูวรรธนะปกรณ์ |
14,050,078 |
0.96 |
ณภัทร ปัญจคุณาธร |
13,060,000 |
0.89 |
สำหรับการเคลื่อนไหวราคาหุ้น JMT ในเดือนกรกฎาคม 2566 ราคาหุ้นปรับลดลง 2% จากราคา 37.50 บาท ลดลงมาอยู่ที่ 36.75 บาท และเคยปรับตัวขึ้นไปสูงสุดที่ 39.75 บาท
บล.บัวหลวง ประเมินหุ้น JMTโดยแนะนำถือ ราคาเป้าหมาย 38.00 บาท เนื่องจากมองแนวโน้มการเติบโตในปีนี้ช้าลงกว่าในอดีต เราคาดการณ์กำไรสุทธิ 2Q23 ที่ 523 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% YoY และ 15% QoQ จากการจัดเก็บเงินสดได้เพิ่มขึ้น และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วม JK AMC เติบโตต่อเนื่อง
สำหรับแนวโน้ม 3Q23 ยังคาดกำไรเติบโตต่อเนื่องอีก 18% YoY และ 3% QoQ และภาพรวมกำไรปี 2023 จะเติบโต 20% YoY ส่วนการซื้อหนี้ก้อนใหญ่ 6 หมื่นล้านบาท ใน 2Q23 คาดว่าจะเริ่มส่งผลบวกต่อกำไรสุทธิตั้งแต่ 4Q23 ทำให้เราประเมินว่าภาพรวมการเติบโตของกำไรเฉลี่ยปี 2023-25 จะชะลอตัวลงเป็นเฉลี่ยที่ 19% ขณะที่ปัจจุบันราคาหุ้นซื้อขายที่ PER ราว 27 เท่า ซึ่งคิดเป็น PEG ที่ 1.4 เท่า ถือว่าค่อนข้างตึงตัว ทั้งนี้ ROE ปี 2023 คาดที่ 9.1% ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยปี 2018-22 ที่ 16.1% อีกด้วย