‘บมจ. โอสถสภา (OSP)’ โชว์ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2566 เติบโตต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน โดยมีรายได้จากการขาย 6,709 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.5% จากไตรมาสก่อน และมีกำไรจากการดำเนินงาน 549 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.9% เมื่อเทียบกับกำไรจากการดำเนินงานในไตรมาสก่อนที่ไม่รวมเงินปันผลรับจากเงินลงทุน เป็นผลจากการฟื้นตัวของกลุ่มเครื่องดื่มในประเทศทั้ง ‘เอ็ม-150’ และ ‘ซี-วิท’ ที่ครองตำแหน่งผู้นำตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังและตลาดเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของวิตามินซี ประกอบกับการบริหารประสิทธิภาพการผลิตอย่างต่อเนื่อง พร้อมประกาศจ่ายเงินปันผล ครึ่งปีแรกในอัตรา 0.40 บาทต่อหุ้น
นางวรรณิภา ภักดีบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของประเทศไทย เปิดเผยว่าผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2566 (เมษายน-มิถุนายน) บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 6,709 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า เป็นผลจากความสำเร็จในการดำเนินกลยุทธ์ด้านความหลากหลายของกลุ่มสินค้าที่ตอบสนองความต้องการลูกค้าได้อย่างครอบคลุม รวมถึงการทำกิจกรรมการตลาดของแบรนด์ ‘เอ็ม-150’ ภายใต้กลยุทธ์ ไอดอล มาร์เก็ตติ้ง ที่คว้า 5 คนดังระดับแนวหน้าของประเทศไทยมาเป็นพรีเซนเตอร์ เพื่อสร้างการรับรู้และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างหลากหลาย ทำให้สามารถ ครองใจของผู้บริโภคได้อย่างเหนียวแน่น ประกอบกับการมีเครือข่ายการจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่ง ส่งผลให้มีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้น 0.9% จากไตรมาสก่อน เป็น 47.5% ในขณะที่ผลิตภัณฑ์กลุ่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของวิตามินซี ภายใต้แบรนด์ ‘ซี-วิท’ ยังครองแชมป์ผู้นำตลาด ส่วนตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่ม CLMV ยังรักษาอัตราการเติบโตได้อย่างโดดเด่นขยายตัวเป็นเลข 2 หลักเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สะท้อนความเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งและความสามารถ ในการจัดการผ่านทีมงานและโรงงานผลิตในต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ต้องเผชิญสถานการณ์ความไม่แน่นอน ในหลายด้าน
ส่วนกำไรจากการดำเนินงานในไตรมาส 2 ปีนี้ ทำได้ 549 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.9% เมื่อเทียบกับกำไรจาก การดำเนินงานในไตรมาสก่อนที่ไม่รวมเงินปันผลรับจากเงินลงทุนจำนวน 300 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการเติบโตต่อเนื่องติดต่อกัน 4 ไตรมาส อันเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของยอดขาย และการจัดการประสิทธิภาพการผลิตและบริหารต้นทุน ที่ดีอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการได้รับประโยชน์จากราคาต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวลดลง ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยต่ำลงและส่งผลดีต่ออัตราการทำกำไรขั้นต้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ จึงได้อนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับ ผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกของปี 2566 เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2566 ในอัตรา 0.40 บาทต่อหุ้น เป็นจำนวนเงิน 1,202 ล้านบาท เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและให้ผลตอบแทนที่ดีแก่ผู้ถือหุ้น โดยกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิ์ได้รับเงินปันผลในวันที่ 24 สิงหาคม 2566 และจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 8 กันยายนนี้
ในส่วนแผนงานครึ่งปีหลัง โอสถสภายังคงขับเคลื่อนนโยบายการดำเนินธุรกิจตามแผนยุทธศาสตร์ พร้อมสร้างความได้เปรียบในทุกด้าน เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดและผลักดันยอดขายของปี 2566 ให้เติบโตเป็นเลข 2 หลัก โดยมุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนองค์กรอย่างต่อเนื่องและบริหารจัดการต้นทุนในทุกด้าน มุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ และต่อยอดผลิตภัณฑ์เดิม เพื่อส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้บริโภค อันเป็นเป้าหมายสำคัญในการดำเนินธุรกิจของโอสถสภา พร้อมทั้งเดินหน้ารองรับแผนงานสร้างการเติบโตจากภายนอก (inorganic growth) รวมถึงการพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 เพื่อให้โอสถสภาเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน พร้อมทั้งสร้างผลตอบแทนที่ดีแก่ผู้ถือหุ้น