ไทยประกันชีวิตเผยผลประกอบการ 6 เดือนแรก ปี 2566 มูลค่ากำไรของธุรกิจใหม่ หรือ VONB อยู่ที่ 3,289 ล้านบาท โดยอัตรากำไรของธุรกิจใหม่ เพิ่มเป็น 57.6% เป็นผลจากการดำเนินการตามแผนกลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนกำไรสุทธิในไตรมาสสองเพิ่มขึ้นถึง 24.4% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 2,512 ล้านบาท มาจากการเติบโตของกำไรจากการรับประกันภัย ส่งผลให้มีกำไรในช่วง 6 เดือนแรกสูงถึง 5,640 ล้านบาท
นายไชย ไชยวรรณ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ TLI เปิดเผยถึงผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 ว่า บริษัทฯ มีมูลค่ากำไรของธุรกิจใหม่ (Value of New Business : VONB) อยู่ที่ 3,289 ล้านบาท โดยอัตรากำไรของธุรกิจใหม่ (VONB Margin) เพิ่มขึ้นถึง 6.1 จุด หรือมีอัตราสูงถึง 57.6% โดยมีเบี้ยประกันภัยรับปีแรกแบบคำนวณรายปี (Annual Premium Equivalent : APE) จำนวน 5,173 ล้านบาท และเบี้ยประกันภัยรับรวม 39,345 ล้านบาท
ซึ่งเป็นผลมาจากกลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ที่มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่ากำไรสูง ผ่านทางช่องทางการขายหลักอย่างช่องทางตัวแทนประกันชีวิต โดยบริษัทฯมีจำนวนตัวแทนฯ ใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และบริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการขายของตัวแทนฯ ควบคู่ไปกับการพัฒนาเครื่องมือดิจิทัลเพื่อสนับสนุนการขาย เช่น แอปพลิเคชัน MDA 4 PLUS
นอกจากนี้ ในช่องทางพันธมิตร บริษัทฯ ยังคงมีพันธมิตรที่หลากหลาย สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างทั่วถึงและครอบคลุม ซึ่งบริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มมูลค่า สำหรับขายผ่านช่องทางพันธมิตร ส่งผลให้มีอัตรากำไรที่ดีขึ้น
ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 2,512 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การเติบโตของกำไรสุทธิเป็นผลจากกำไรจากการรับประกันภัยที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ส่งผลให้กำไรในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2566 อยู่ที่ 5,640 ล้านบาท โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2566 บริษัทฯ สามารถทำกำไรจากการรับประกันภัยเติบโตถึง 19% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่กำไรจากการลงทุนปรับตัวลดลง เนื่องจากการลดลงของกำไรจากการขายเงินลงทุนและการเปลี่ยนแปลงของมูลค่ายุติธรรม ซึ่งเป็นไปตามผลตอบแทนของตลาดและมุมมองในการเคลื่อนไหวของตลาดทุนในปี 2565
นายไชยกล่าวว่า ถึงแม้บริษัทฯจะมีการบันทึกผลขาดทุนจากขายเงินลงทุนในหุ้น STARK ในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา บริษัทฯยังสามารถทำกำไรจากเงินลงทุนสุทธิในระหว่างไตรมาสเป็นจำนวน 470 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 6.7% จากไตรมาสที่สองของปีที่แล้ว
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566 มูลค่าพื้นฐานของกิจการ หรือ Embedded Value (EV) ของบริษัทฯ มีมูลค่า 152,990 ล้านบาท ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.4% จาก 145,170 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนธันวาคม ปี 2566 แม้ว่าจะมีการจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นรวมกว่า 3,400 ล้านบาท แต่ EV ยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากกำไรจากการดำเนินงานบนพื้นฐานของมูลค่ากิจการที่เพิ่มขึ้นอย่างยั่งยืน
ในด้านการลงทุน บริษัทฯ มีการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนอย่างระมัดระวังเพื่อให้เกิดผลตอบแทนที่ยั่งยืนแก่ผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566 สินทรัพย์ลงทุนมากกว่า 80% ของสินทรัพย์ลงทุนทั้งหมด เป็นรูปแบบหนี้สินที่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในระดับกลุ่มน่าลงทุน
สำหรับอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน หรือ CAR Ratio ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2566 อยู่ที่ 398.2% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กำหนดไว้อยู่ที่ 140% ซึ่งบริษัทฯ ให้ความสำคัญกับสถานะเงินทุนที่แข็งแกร่งอันเป็นรากฐานของการเติบโตอย่างยั่งยืน
นายไชย ไชยวรรณ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ TLI เปิดเผยถึงผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 ว่า บริษัทฯ มีมูลค่ากำไรของธุรกิจใหม่ (Value of New Business : VONB) อยู่ที่ 3,289 ล้านบาท โดยอัตรากำไรของธุรกิจใหม่ (VONB Margin) เพิ่มขึ้นถึง 6.1 จุด หรือมีอัตราสูงถึง 57.6% โดยมีเบี้ยประกันภัยรับปีแรกแบบคำนวณรายปี (Annual Premium Equivalent : APE) จำนวน 5,173 ล้านบาท และเบี้ยประกันภัยรับรวม 39,345 ล้านบาท
ซึ่งเป็นผลมาจากกลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ที่มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่ากำไรสูง ผ่านทางช่องทางการขายหลักอย่างช่องทางตัวแทนประกันชีวิต โดยบริษัทฯมีจำนวนตัวแทนฯ ใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และบริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการขายของตัวแทนฯ ควบคู่ไปกับการพัฒนาเครื่องมือดิจิทัลเพื่อสนับสนุนการขาย เช่น แอปพลิเคชัน MDA 4 PLUS
นอกจากนี้ ในช่องทางพันธมิตร บริษัทฯ ยังคงมีพันธมิตรที่หลากหลาย สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างทั่วถึงและครอบคลุม ซึ่งบริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มมูลค่า สำหรับขายผ่านช่องทางพันธมิตร ส่งผลให้มีอัตรากำไรที่ดีขึ้น
ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 2,512 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การเติบโตของกำไรสุทธิเป็นผลจากกำไรจากการรับประกันภัยที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ส่งผลให้กำไรในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2566 อยู่ที่ 5,640 ล้านบาท โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2566 บริษัทฯ สามารถทำกำไรจากการรับประกันภัยเติบโตถึง 19% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่กำไรจากการลงทุนปรับตัวลดลง เนื่องจากการลดลงของกำไรจากการขายเงินลงทุนและการเปลี่ยนแปลงของมูลค่ายุติธรรม ซึ่งเป็นไปตามผลตอบแทนของตลาดและมุมมองในการเคลื่อนไหวของตลาดทุนในปี 2565
นายไชยกล่าวว่า ถึงแม้บริษัทฯจะมีการบันทึกผลขาดทุนจากขายเงินลงทุนในหุ้น STARK ในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา บริษัทฯยังสามารถทำกำไรจากเงินลงทุนสุทธิในระหว่างไตรมาสเป็นจำนวน 470 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 6.7% จากไตรมาสที่สองของปีที่แล้ว
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566 มูลค่าพื้นฐานของกิจการ หรือ Embedded Value (EV) ของบริษัทฯ มีมูลค่า 152,990 ล้านบาท ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.4% จาก 145,170 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนธันวาคม ปี 2566 แม้ว่าจะมีการจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นรวมกว่า 3,400 ล้านบาท แต่ EV ยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากกำไรจากการดำเนินงานบนพื้นฐานของมูลค่ากิจการที่เพิ่มขึ้นอย่างยั่งยืน
ในด้านการลงทุน บริษัทฯ มีการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนอย่างระมัดระวังเพื่อให้เกิดผลตอบแทนที่ยั่งยืนแก่ผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566 สินทรัพย์ลงทุนมากกว่า 80% ของสินทรัพย์ลงทุนทั้งหมด เป็นรูปแบบหนี้สินที่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในระดับกลุ่มน่าลงทุน
สำหรับอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน หรือ CAR Ratio ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2566 อยู่ที่ 398.2% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กำหนดไว้อยู่ที่ 140% ซึ่งบริษัทฯ ให้ความสำคัญกับสถานะเงินทุนที่แข็งแกร่งอันเป็นรากฐานของการเติบโตอย่างยั่งยืน