บริษัท ที.เอ.ซี.คอนซูเมอร์ (TACC) ยอดขายใน7-Eleven และ Non 7-Eleven เติบโตต่อเนื่อง ขณะที่ต้นทุนสินค้าปรับลดลง ผู้บริหารมั่นใจรายได้ปีนี้โตแตะระดับ 10%
บริษัท ที.เอ.ซี.คอนซูเมอร์ (TACC) ภาพรวมผลการดำเนินงานของบริษัทฯในไตรมาส2/2566 มีรายได้รวม447.23 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.77 %เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน มีรายได้รวม 389.67 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 62.41ล้านบาท ขณะที่งวด 6 เดือนแรกของปี2566 มีรายได้รวม 826.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น13.46% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 728.46 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ108.84ล้านบาท
ซึ่ง นายชัชชวี วัฒนสุข ประธานกรรมการบริหาร ระบุ ปัจจัยที่สนับสนุนให้ยอดขายเติบโตได้ดี เนื่องจากในไตรมาส2จะเป็นช่วงฤดูกาลที่ดีของธุรกิจเครื่องดื่ม ซึ่งในปีนี้ก็มีทิศทางเดียวกัน ทำให้มียอดขายเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง รวมถึงยังได้รับอานิสงส์ของการฟื้นตัวของการเดินทางท่องเที่ยว และการฟื้นตัวกลับมาของผู้บริโภค
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในครึ่งปีหลัง บริษัทฯยังคงเดินหน้าสร้างมูลค่าเพิ่มจากผลิตภัณฑ์เดิม ลุยพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ให้สามารถตอบโจทย์ลูกค้าและผู้บริโภค อีกทั้งบริหารจัดการควบคุมพัฒนาค่าใช้จ่ายและการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันยังรุกขยายลงทุนธุรกิจHealth and Wellnessเต็มรูปแบบ
โดยกลุ่มธุรกิจB2B (7-Eleven)บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาสินค้าCore MenuและNew Menuรวมทั้งออกสินค้าใหม่ร่วมกันในฐานะKey Strategic Partnerไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มเย็นในโถกด (Jet Spray)และ เครื่องดื่มNon Coffee MenuในAll Caf?ทั้งในประเทศไทย และ7-Elevenในประเทศกัมพูชา
ส่วนกลุ่มธุรกิจB2C (Non 7-Eleven)บริษัทฯ พร้อมเดินหน้าขยาย Brand TRIVA (ทรีว่า) ไซรัปผลไม้เข้มข้นจากธรรมชาติ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อตอบสนองความต้องการ และสร้างความแตกต่างให้กับผู้ประกอบการ ร้านค้า คาเฟ่ (Total solution service offering)เพื่อขยายฐานลูกค้าในกลุ่มต่างๆ
แนวโน้มการดำเนินงานในปี 2566 บริษัทฯ ยังคงเป้าหมายรายได้เติบโต10% ซึ่งได้รับปัจจัยหนุนจากธุรกิจเครื่องดื่มที่เป็นจุดแข็งของบริษัทฯ และการเดินหน้าธุรกิจ Health and Wellness ของบริษัทย่อยแบบครบวงจร ในนามบริษัท เฮลธ์ อินสไปร์ด แพลนเนต จำกัด เพื่อขยายแบรนด์ Bloss Naturaผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพความงาม และอาหารเสริมชั้นนำที่ผลิตจากประเทศเกาหลี เพื่อนำมาต่อยอดธุรกิจ ซึ่งมั่นใจว่าจะเป็น Next S Curveในช่วง5-10 ปีข้างหน้า ผลักดันผลการดำเนินงานเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต
ด้าน บล.โกลเบล็ก ระบุว่า งวด 2Q66 มีกำไร53.9 ล้านบาท -21% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน แต่ +27% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นไปทิศทางเดียวกับที่คาด มีรายได้ 445.1 ล้านบาท +16% เมื่อเทียบ YoY และ +17% QoQ โดยโต YoY จากกำลังซื้อที่ฟื้นดีจากคนในประเทศและนักท่องเที่ยวต่างชาติ ช่วยหนุน Traffic ของร้าน 7-Eleven ควบคู่ไปกับการขยายสาขา 7-Eleven ทั้งในประเทศ (+782 สาขา YoY +168 สาขา QoQ ) และการขยายสาขาในกัมพูชา ส่วน%GPM ฟื้นดีขึ้นจากไตรมาสก่อนมาที่ระดับ 32.7% จาก 31.6% จากต้นทุนวัตถุดิบบางรายการที่เริ่มปรับลดลง แต่ยังอ่อนแอจาก 2Q65 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 36.8% โดยกำไร 1H66 เท่ากัน 96 ล้านบาท คิดเป็น 42% ของประมาณการทั้งปี 2566 ที่ประมาณ 231 ล้านบาท-2% YoY
เรามีมุมมองบวกต่อผลประกอบการ 2Q66 และช่วง 2H66 ที่คาดจะฟื้นโตดีต่อเนื่อง สนับสนุนจากรายได้ทั้งกลุ่ม 7-Eleven และ Non 7-Eleven ประกอบกับราคาต้นทุนวัตถุดิบที่เริ่มปรับลดลง เช่น สารให้ความหวาน ชา นมผง และครีมเทียม เป็นต้น โดยเราคงประมาณการกำไรปี 66 ราว 231 ล้านบาท -2% เมื่อเทียบ YoY ซึ่งราคาหุ้นปรับตัวลง 26% YTD สะท้อนผลประกอบการที่อ่อนแอไปแล้ว
โดยปัจจัยหนุนระยะสั้นมาจากเมื่อวันที่ 10 ส.ค. ที่ผ่านมา บริษัทมีมติอนุมัติ โครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน ภายในวงเงินไม่เกิน 50 ล้านบาท จำนวนหุ้นไม่เกิน 11 ล้านหุ้นหรือคิดเป็นจำนวนไม่เกิน 1.81% ของหุ้นที่จำหน่ายแล้ว และจ่ายปันผล 0.17 บาท /หุ้น (XD 24 ส.ค. 66 จ่าย 8 ก.ย. 66) โดยเราคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 7.60 บาท
บริษัท ที.เอ.ซี.คอนซูเมอร์ (TACC) ภาพรวมผลการดำเนินงานของบริษัทฯในไตรมาส2/2566 มีรายได้รวม447.23 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.77 %เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน มีรายได้รวม 389.67 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 62.41ล้านบาท ขณะที่งวด 6 เดือนแรกของปี2566 มีรายได้รวม 826.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น13.46% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 728.46 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ108.84ล้านบาท
ซึ่ง นายชัชชวี วัฒนสุข ประธานกรรมการบริหาร ระบุ ปัจจัยที่สนับสนุนให้ยอดขายเติบโตได้ดี เนื่องจากในไตรมาส2จะเป็นช่วงฤดูกาลที่ดีของธุรกิจเครื่องดื่ม ซึ่งในปีนี้ก็มีทิศทางเดียวกัน ทำให้มียอดขายเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง รวมถึงยังได้รับอานิสงส์ของการฟื้นตัวของการเดินทางท่องเที่ยว และการฟื้นตัวกลับมาของผู้บริโภค
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในครึ่งปีหลัง บริษัทฯยังคงเดินหน้าสร้างมูลค่าเพิ่มจากผลิตภัณฑ์เดิม ลุยพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ให้สามารถตอบโจทย์ลูกค้าและผู้บริโภค อีกทั้งบริหารจัดการควบคุมพัฒนาค่าใช้จ่ายและการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันยังรุกขยายลงทุนธุรกิจHealth and Wellnessเต็มรูปแบบ
โดยกลุ่มธุรกิจB2B (7-Eleven)บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาสินค้าCore MenuและNew Menuรวมทั้งออกสินค้าใหม่ร่วมกันในฐานะKey Strategic Partnerไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มเย็นในโถกด (Jet Spray)และ เครื่องดื่มNon Coffee MenuในAll Caf?ทั้งในประเทศไทย และ7-Elevenในประเทศกัมพูชา
ส่วนกลุ่มธุรกิจB2C (Non 7-Eleven)บริษัทฯ พร้อมเดินหน้าขยาย Brand TRIVA (ทรีว่า) ไซรัปผลไม้เข้มข้นจากธรรมชาติ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อตอบสนองความต้องการ และสร้างความแตกต่างให้กับผู้ประกอบการ ร้านค้า คาเฟ่ (Total solution service offering)เพื่อขยายฐานลูกค้าในกลุ่มต่างๆ
แนวโน้มการดำเนินงานในปี 2566 บริษัทฯ ยังคงเป้าหมายรายได้เติบโต10% ซึ่งได้รับปัจจัยหนุนจากธุรกิจเครื่องดื่มที่เป็นจุดแข็งของบริษัทฯ และการเดินหน้าธุรกิจ Health and Wellness ของบริษัทย่อยแบบครบวงจร ในนามบริษัท เฮลธ์ อินสไปร์ด แพลนเนต จำกัด เพื่อขยายแบรนด์ Bloss Naturaผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพความงาม และอาหารเสริมชั้นนำที่ผลิตจากประเทศเกาหลี เพื่อนำมาต่อยอดธุรกิจ ซึ่งมั่นใจว่าจะเป็น Next S Curveในช่วง5-10 ปีข้างหน้า ผลักดันผลการดำเนินงานเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต
ด้าน บล.โกลเบล็ก ระบุว่า งวด 2Q66 มีกำไร53.9 ล้านบาท -21% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน แต่ +27% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นไปทิศทางเดียวกับที่คาด มีรายได้ 445.1 ล้านบาท +16% เมื่อเทียบ YoY และ +17% QoQ โดยโต YoY จากกำลังซื้อที่ฟื้นดีจากคนในประเทศและนักท่องเที่ยวต่างชาติ ช่วยหนุน Traffic ของร้าน 7-Eleven ควบคู่ไปกับการขยายสาขา 7-Eleven ทั้งในประเทศ (+782 สาขา YoY +168 สาขา QoQ ) และการขยายสาขาในกัมพูชา ส่วน%GPM ฟื้นดีขึ้นจากไตรมาสก่อนมาที่ระดับ 32.7% จาก 31.6% จากต้นทุนวัตถุดิบบางรายการที่เริ่มปรับลดลง แต่ยังอ่อนแอจาก 2Q65 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 36.8% โดยกำไร 1H66 เท่ากัน 96 ล้านบาท คิดเป็น 42% ของประมาณการทั้งปี 2566 ที่ประมาณ 231 ล้านบาท-2% YoY
เรามีมุมมองบวกต่อผลประกอบการ 2Q66 และช่วง 2H66 ที่คาดจะฟื้นโตดีต่อเนื่อง สนับสนุนจากรายได้ทั้งกลุ่ม 7-Eleven และ Non 7-Eleven ประกอบกับราคาต้นทุนวัตถุดิบที่เริ่มปรับลดลง เช่น สารให้ความหวาน ชา นมผง และครีมเทียม เป็นต้น โดยเราคงประมาณการกำไรปี 66 ราว 231 ล้านบาท -2% เมื่อเทียบ YoY ซึ่งราคาหุ้นปรับตัวลง 26% YTD สะท้อนผลประกอบการที่อ่อนแอไปแล้ว
โดยปัจจัยหนุนระยะสั้นมาจากเมื่อวันที่ 10 ส.ค. ที่ผ่านมา บริษัทมีมติอนุมัติ โครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน ภายในวงเงินไม่เกิน 50 ล้านบาท จำนวนหุ้นไม่เกิน 11 ล้านหุ้นหรือคิดเป็นจำนวนไม่เกิน 1.81% ของหุ้นที่จำหน่ายแล้ว และจ่ายปันผล 0.17 บาท /หุ้น (XD 24 ส.ค. 66 จ่าย 8 ก.ย. 66) โดยเราคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 7.60 บาท