กระดานข่าว

WHAUP คว้างานติดตั้ง Solar Rooftop “ไอซิน พาวเวอร์เทรน (ประเทศไทย)” ขนาด 3.25 MW


18 สิงหาคม 2566
บมจ.ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (“WHAUP”) เสิร์ฟข่าวดี ล่าสุด บริษัท ไอซิน พาวเวอร์เทรน (ประเทศไทย) จำกัด (“AIPT”) ผู้ผลิตระบบส่งกำลังและเกียร์อัตโนมัติสำหรับรถยนต์ ร่วมลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคาโรงงาน (Solar Rooftop) ขนาดกำลังผลิต 3.25 เมกะวัตต์ ณ นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด อินดัสเตรียลเอสเตท 2 จังหวัดชลบุรี ระบุช่วยลดค่าต้นทุนด้านพลังงานไฟฟ้าให้กับ AIPT ถึง 305 ล้านบาท เดินหน้าสู่โรงงานที่เป็นกลางทางคาร์บอน ด้าน CEO “สมเกียรติ เมสันธสุวรรณ” ตอกย้ำความร่วมมือครั้งนี้ หนุนยอดกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้นของ WHAUP ในปีนี้เพิ่มขึ้นแตะระดับ  717.57 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นโครงการ Solar Rooftop จำนวน 167.33 เมกะวัตต์  

WHAUP Secures Aisin  Solar Rooftop   3.25 MW.jpg
นายสมเกียรติ เมสันธสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “WHAUP” เปิดเผยถึงการร่วมลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคาโรงงาน (Solar Rooftop) กับบริษัท ไอซิน พาวเวอร์เทรน (ประเทศไทย) จำกัด หรือ“AIPT” เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2023 ว่า บริษัทฯ รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับความไว้วางใจจาก AIPT ซึ่งเป็นผู้ผลิตระบบส่งกำลังและเกียร์อัตโนมัติรถยนต์รายใหญ่ จากประเทศญี่ปุ่น โดยทาง WHAUP จะดำเนินการติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) ภายใต้โครงการโซลาร์รูฟท็อปของ AIPT โดยมีกำลังการผลิตไฟฟ้าขนาด 3.25 เมกะวัตต์ ที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 2 จังหวัดชลบุรี ทั้งนี้บริษัทฯ คาดว่าจะดำเนินการติดตั้งแล้วเสร็จในช่วงกลางปี 2024 ขณะเดียวกันหากโครงการดำเนินการเสร็จสมบูรณ์จะสามารถลดค่าต้นทุนด้านพลังงานไฟฟ้าให้กับ AIPT ได้ถึง 305 ล้านบาท นอกจากนี้ยังสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่ชั้นบรรยากาศได้ 56,300 ตัน ตลอดอายุการใช้งาน 25 ปี ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของ AIPT ที่มีความมุ่งมั่น ในการรักษาสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ส่งเสริมการแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมในระยะยาว เพื่อก้าวสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน รวมถึงการลดผลกระทบจากภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สำหรับการติดตั้งโครงการในครั้งนี้ ส่งผลให้ยอดกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้นของ WHAUP ในปีนี้เพิ่มขึ้นแตะระดับ  717.57 เมกะวัตต์ ซึ่งมาจากโครงการ Solar Rooftop จำนวน 167.33 เมกะวัตต์ 

พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าในการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ในการทำธุรกิจเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะพลังงานหมุนเวียนทั้งพลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานจากขยะอุตสาหกรรม รวมถึงโซลูชันดิจิทัล อาทิ การให้บริการแพลตฟอร์มการซื้อขายพลังงานไฟฟ้าโดยตรงระหว่างผู้ผลิตและผู้ใช้ไฟฟ้า (Peer-to-Peer) หรือการซื้อขายพลังงานไฟฟ้าโดยไม่ผ่านคนกลาง โดยใช้ระบบ Two-Sided Bidding Algorithm รวมทั้งเพิ่มความปลอดภัยในการทำธุรกรรมและอำนวยความสะดวกการซื้อขายพลังงานให้กับผู้ผลิตไฟฟ้ารายย่อยกับผู้ใช้พลังงานด้วยเทคโนโลยี Blockchain   

ทั้งนี้ WHAUP ยังคงมุ่งมั่นที่จะสร้างแรงบันดาลใจ และพร้อมให้บริการกับบริษัทต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ ให้หันมาใช้พลังงานหมุนเวียนซึ่งเป็นโซลูชันที่ได้ผล และมีประสิทธิภาพให้คุ้มค่าสำหรับความต้องการด้านพลังงานสูงสุด  
ด้าน นายโนะริทากะ คุนิเอะดะ ประธานบริษัท บริษัท ไอซิน พาวเวอร์เทรน (ประเทศไทย) จำกัด  (“AIPT”) กล่าวว่า สำหรับพิธีลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ Solar Rooftop ระหว่างบริษัทฯ กับ บมจ.ดับบลิวเฮชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ ครั้งนี้ มีความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนองค์กรในทุกมิติเพื่อสร้างการเติบโตทางธุรกิจ “The Best One Company” ภายใต้การบริหาร “บริษัทอันเป็นที่รักของพนักงาน  บริษัทอันเป็นที่รักของลูกค้า  บริษัทอันเป็นที่รักของท้องถิ่นและสังคม” ซึ่งนำมาด้วยการผลิตที่ดี ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ มีพนักงานทั้งคนไทย และคนญี่ปุ่น รวมทั้งสิ้น 950 คน โดยกลุ่มบริษัทไอซิน มีความมุ่งมั่นในการสร้างสังคมแห่งความยั่งยืน  (SDGs)

ดังนั้น โครงการโซลาร์รูฟท็อปครั้งนี้ สามารถตอบโจทย์ในการลดค่าต้นทุนด้านพลังงานไฟฟ้าให้กับบริษัทฯ เฉลี่ย 305 ล้านบาท ขณะเดียวกันยังลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 56,300 ตัน ซึ่งจะช่วยให้บรรลุตามเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดซ์ออกไซค์ให้เป็นศูนย์ ภายในปี 2035 ตามแผนการดำเนินการด้านการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการ Kaizen ปรับปรุงวิธีการทำงานลดการใช้พลังงานเฉลี่ย 3 % ต่อปี และการใช้พลังงานหมุนเวียนเป้าหมายแรก 15% ภายในปี 2025 และเพิ่มเป็น 40% ภายในปี 2030 จากแผนการดำเนินการในด้านการใช้พลังงานหมุนเวียน ซึ่งสอดรับกับ SDGs. ขององค์ก บริษัทฯ จึงมั่นใจว่า โครงการนี้จะเป็นประโยชน์กับทั้ง 2 ฝ่าย ในการส่งเสริมการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมในระยะยาว”