จับประเด็นหุ้นเด่น
รายงานพิเศษ : เทคโนโลยี “EV-Solar cell” กระตุ้นลงทุน Smart Gridหนุนยอดขาย PCC
22 สิงหาคม 2566
การพัฒนาเทคโนโลยีทั้ง EV สถานีชาร์จ (Charging Station) และ Solar cell กระตุ้นระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ หนุนธุรกิจบมจ.พรีไซซ คอร์ปอเรชั่น (PCC) รายได้แตะ 6,000 ล้านบาท ภายในปี 68

การพัฒนาระบบไฟฟ้า และการใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น กระตุ้นในเกิดระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะหรือ ระบบ Smart Grid สนับสนุนธุรกิจ บมจ.พรีไซซ คอร์ปอเรชั่น (PCC) สะท้อนจากมุมมองของประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “กิตติ สัมฤทธิ์” ระบุ แผนธุรกิจในปี 66 บริษัทตั้งเป้ารายได้จะเติบโตจากปีก่อนที่ทำได้ 4,860 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทยังมีโอกาสการเติบโตตามอุตสาหกรรมไฟฟ้า เพราะระบบไฟฟ้ามีความจำเป็นต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่องและสามารถตรวจสอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการที่มีจำนวนรถไฟฟ้า (EV) และ สถานีชาร์จ (Charging Station) รวมถึงการลงทุน Solar cell จากบ้านเรือนเพิ่มมากขึ้น
บริษัทในฐานะผู้ดำเนินธุรกิจโซลูชั่นครบวงจร ของระบบ Smart Grid หรือ ระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ ที่นำเทคโนโลยีหลากหลายประเภทเข้ามาทำงานร่วมกัน โดยครอบคลุมตั้งแต่การประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยีทั้งห่วงโซ่ของระบบไฟฟ้าตั้งแต่การผลิตไฟฟ้า การส่งไฟฟ้า การจำหน่ายไฟฟ้า ไปจนถึงภาคส่วนของผู้บริโภค ได้อย่างชาญฉลาด รวมถึงการสื่อสารในการเก็บข้อมูลและทำการสั่งการควบคุม ถือเป็นโอกาสของบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตอีกมากในอนาคต
สำหรับแผนธุรกิจ 3 ปี (2566-2568) บริษัทฯยังคงเป้ารายได้แตะ 6,000 ล้านบาท จากคาดการณ์ว่าจะมีการลงทุนด้านสมาร์ทกริดที่เพิ่มขึ้น ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนอย่างแน่นอน
ขณะที่ภาพรวมผลการดำเนินงาน บริษัทฯรายได้รวม 6 เดือนแรกปีนี้ (มกราคม-มิถุนายน 2566) อยู่ที่ 2,240.65 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 513.67 ล้านบาท หรือ 29.74% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 1,726.98 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 167.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.43 ล้านบาท หรือ 24.88% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 134.36 ล้านบาท
ขณะที่ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/66 บริษัทฯมีรายได้รวม 1,188.05 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.96% เทียบจากช่วงปีก่อนที่มีรายได้รวม 943.21 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 84.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.30% เทียบจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 61.90 ล้านบาท
ซึ่งผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ยังคงมีอัตราการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีสาเหตุหลักมาจากการขายกลุ่มสินค้าหม้อแปลง เครื่องมือวัดแรงดันและกระแส,กลุ่มสินค้าปรับแรงดัน และป้องกันกระแสและแรงดันเกินพิกัด สวิตช์ตัดตอน และอุปกรณ์ฉนวน ในระบบจำหน่าย และกลุ่มโคมไฟแอลอีดีให้กับกลุ่มลูกค้าภาครัฐ และเอกชนเพิ่มขึ้น และจากงานโครงการจัดหาพร้อมติดตั้งอุปกรณ์HardwareและSoftwareระบบศูนย์สั่งการจ่ายไฟ และสัญญาจ้างจัดหาพร้อมติดตั้งอุปกรณ์ Feeder Device Interface (FDI) และอุปกรณ์วิทยุสื่อสาร และจากงานก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าแรงสูง และจากงานปรับปรุงคุณภาพเครื่องบดถ่านหินของโรงไฟฟ้า

การพัฒนาระบบไฟฟ้า และการใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น กระตุ้นในเกิดระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะหรือ ระบบ Smart Grid สนับสนุนธุรกิจ บมจ.พรีไซซ คอร์ปอเรชั่น (PCC) สะท้อนจากมุมมองของประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “กิตติ สัมฤทธิ์” ระบุ แผนธุรกิจในปี 66 บริษัทตั้งเป้ารายได้จะเติบโตจากปีก่อนที่ทำได้ 4,860 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทยังมีโอกาสการเติบโตตามอุตสาหกรรมไฟฟ้า เพราะระบบไฟฟ้ามีความจำเป็นต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่องและสามารถตรวจสอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการที่มีจำนวนรถไฟฟ้า (EV) และ สถานีชาร์จ (Charging Station) รวมถึงการลงทุน Solar cell จากบ้านเรือนเพิ่มมากขึ้น
บริษัทในฐานะผู้ดำเนินธุรกิจโซลูชั่นครบวงจร ของระบบ Smart Grid หรือ ระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ ที่นำเทคโนโลยีหลากหลายประเภทเข้ามาทำงานร่วมกัน โดยครอบคลุมตั้งแต่การประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยีทั้งห่วงโซ่ของระบบไฟฟ้าตั้งแต่การผลิตไฟฟ้า การส่งไฟฟ้า การจำหน่ายไฟฟ้า ไปจนถึงภาคส่วนของผู้บริโภค ได้อย่างชาญฉลาด รวมถึงการสื่อสารในการเก็บข้อมูลและทำการสั่งการควบคุม ถือเป็นโอกาสของบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตอีกมากในอนาคต
สำหรับแผนธุรกิจ 3 ปี (2566-2568) บริษัทฯยังคงเป้ารายได้แตะ 6,000 ล้านบาท จากคาดการณ์ว่าจะมีการลงทุนด้านสมาร์ทกริดที่เพิ่มขึ้น ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนอย่างแน่นอน
ขณะที่ภาพรวมผลการดำเนินงาน บริษัทฯรายได้รวม 6 เดือนแรกปีนี้ (มกราคม-มิถุนายน 2566) อยู่ที่ 2,240.65 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 513.67 ล้านบาท หรือ 29.74% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 1,726.98 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 167.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.43 ล้านบาท หรือ 24.88% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 134.36 ล้านบาท
ขณะที่ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/66 บริษัทฯมีรายได้รวม 1,188.05 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.96% เทียบจากช่วงปีก่อนที่มีรายได้รวม 943.21 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 84.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.30% เทียบจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 61.90 ล้านบาท
ซึ่งผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ยังคงมีอัตราการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีสาเหตุหลักมาจากการขายกลุ่มสินค้าหม้อแปลง เครื่องมือวัดแรงดันและกระแส,กลุ่มสินค้าปรับแรงดัน และป้องกันกระแสและแรงดันเกินพิกัด สวิตช์ตัดตอน และอุปกรณ์ฉนวน ในระบบจำหน่าย และกลุ่มโคมไฟแอลอีดีให้กับกลุ่มลูกค้าภาครัฐ และเอกชนเพิ่มขึ้น และจากงานโครงการจัดหาพร้อมติดตั้งอุปกรณ์HardwareและSoftwareระบบศูนย์สั่งการจ่ายไฟ และสัญญาจ้างจัดหาพร้อมติดตั้งอุปกรณ์ Feeder Device Interface (FDI) และอุปกรณ์วิทยุสื่อสาร และจากงานก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าแรงสูง และจากงานปรับปรุงคุณภาพเครื่องบดถ่านหินของโรงไฟฟ้า