“บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน)” หรือ “BTG” เดินหน้ากลยุทธ์ขยายพอร์ตโฟลิโอผลิตภัณฑ์กลุ่มพรีเมียมและผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม มุ่งส่งเสริมศักยภาพช่องทางการขายร่วมกับพันธมิตร เตรียมลงทุนขยายกำลังผลิตในกัมพูชาและ สปป.ลาว รองรับความต้องการในภูมิภาคอาเซียน มองอุตสาหกรรมอาหารครึ่งปีหลังมีศักยภาพเติบโตต่อเนื่อง ปลื้มหุ้น BTG เข้าคำนวณ 4 ดัชนีชั้นนำ สะท้อนความแข็งแกร่งพื้นฐานธุรกิจ หนุนความสนใจนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
นายวสิษฐ แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ BTG เปิดเผยว่า แผนธุรกิจครึ่งปีหลัง เบทาโกรเดินหน้าสานต่อความสำเร็จของกลยุทธ์ในครึ่งปีแรก โดยกลุ่มธุรกิจเกษตร รุกขยายพอร์ตผลิตภัณฑ์พรีเมียมของอาหารสุกรส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มธุรกิจเกษตรเพิ่มขึ้น ขณะที่กลุ่มธุรกิจอาหารและโปรตีน มุ่งเสริมศักยภาพช่องทางการขายร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ ได้แก่ ร้านเนื้อสัตว์อนามัย (Hygienic Meat Shop) และผู้ประกอบการร้านอาหารทั่วประเทศ พร้อมเปิดตัวแคมเปญการตลาด “ถ้าวิถีธรรมชาติ คือทางของคุณ S-Pure No.1 Brand” ตอกย้ำการเป็นผู้นำตลาดอาหารซุปเปอร์พรีเมียม และนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ “S-Pure Prime” เนื้อสัตว์แปรรูปสไตล์โฮมเมดที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค ส่วนกลุ่มธุรกิจต่างประเทศ เดินหน้าขยายกำลังผลิตโรงงานแปรรูปไก่ในประเทศกัมพูชา รวมทั้งลงทุนฟาร์มพ่อแม่พันธุ์สุกรและโรงงานอาหารสัตว์ใน สปป.ลาว เพื่อรองรับกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาคอาเซียน ด้านกลุ่มธุรกิจสัตว์เลี้ยง วางแผนขยายกำลังการผลิตโรงงานธุรกิจสัตว์เลี้ยงในประเทศไทยเพิ่มขึ้นเท่าตัวเป็น 113,000 ตันต่อปี คาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567
“เบทาโกรมีการเตรียมความพร้อมรับมือกับปัจจัยความผันผวน และสถานการณ์ภายนอกที่ไม่แน่นอนต่าง ๆ ด้วยการทรานส์ฟอร์มเมชั่นองค์กร ตั้งแต่การสร้างรากฐากที่แข็งแกร่งให้กับองค์กร และกำหนดทิศทางการขับเคลื่อนองค์กรที่ชัดเจน ผ่าน “BETAGRO 360 องศา Transformation” เพื่อยกระดับขีดความสามารถ และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของเบทาโกรทั้งในและต่างประเทศมุ่งสู่การเติบโตที่แข็งแกร่งและยั่งยืน รองรับกับอุตสาหกรรมอาหารครึ่งปีหลังที่มีศักยภาพเติบโตต่อเนื่อง จากภาวะเศรษฐกิจที่ยังขยายตัวได้ดี แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาภาพรวมของตลาดหมู จะมีความผันผวนราคาในระยะสั้น แต่คาดการณ์ว่าตลาดจะกลับฟื้นตัวในอนาคต” นายวสิษฐ กล่าว
ทั้งนี้ด้วยการวางรากฐานธุรกิจอย่างแข็งแกร่ง ครอบคลุมทั้งห่วงโซ่คุณค่า จะผลักดันให้เบทาโกรมีศักยภาพที่เติบโตอย่างยั่งยืน ปัจจุบันเบทาโกรได้เข้าคำนวณ 4 ดัชนีหุ้นชั้นนำ ประกอบด้วย 1) ดัชนี MSCI Global Small Cap ดัชนีอ้างอิงของบริษัท Morgan Stanley Capital International (MSCI) 2) ดัชนี FTSE SET Mid Cap ดัชนีอ้างอิงของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กับ FTSE (Financial Time and Stock Exchange Group) ประเทศอังกฤษ 3) ดัชนี SET 100 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย อ้างอิงจากหุ้น 100 ตัว ที่มี Market Cap และสภาพคล่องในการซื้อขายสูง และ 4) ดัชนี SETWB ดัชนีของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย อ้างอิงจากหุ้น 30 ตัวใน 7 หมวดธุรกิจของประเทศไทยที่มีศักยภาพในการแข่งขัน สะท้อนปัจจัยพื้นฐานที่ดีของหุ้น ทั้งในด้านมูลค่าตามตลาดและด้านสภาพคล่อง ส่งผลดีต่อความสนใจจากนักลงทุนทั้งในไทยและต่างชาติมากขึ้น