Fund / Insurance

กองทุนเปิด PRINCIPAL VNEQ โชว์ฟอร์มเด่น 7 เดือนแรกอันดับ 1 กลุ่มกองทุนหุ้นเวียดนามในไทย


29 สิงหาคม 2566
บลจ. พรินซิเพิล โชว์ผลงาน “กองทุนเปิดพรินซิเพิล เวียดนาม อิควิตี้” (PRINCIPAL VNEQ) 7 เดือนแรกของปีนี้ ให้อัตราผลตอบแทน 21.19% เอาชนะดัชนีชี้วัด ขึ้นแท่นอันดับ 1 กลุ่มกองทุนหุ้นเวียดนามในไทย ตอกย้ำศักยภาพกองทุนที่ได้มอร์นิ่งสตาร์ 5 ดาวและทีมผู้จัดการกองทุนที่เน้นกลยุทธ์เลือกหุ้นคุณภาพเป็นรายตัว ชี้เป็นโอกาสลงทุนหุ้นเวียดนามผ่านกองทุนฯ จากเศรษฐกิจที่มีศักยภาพเติบโตในระยะยาว ได้รับผลบวกจากการเคลื่อนย้ายฐานการผลิต อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อีกทั้งตลาดหุ้นเวียดนามมีราคาค่อนข้างต่ำและแนวโน้มเติบโตสูง

Fund Insurance กองทุนเปิด PRINCIPAL VNEQ โชว์ฟอร์มเด่น.jpg
นายจุมพล สายมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด เปิดเผยว่า“กองทุนเปิดพรินซิเพิล เวียดนาม อิควิตี้” หรือ “Principal Vietnam Equity Fund” (PRINCIPAL VNEQ) ที่ บลจ. พรินซิเพิล เป็นผู้บริหารจัดการกองทุนและมีนโยบายลงทุนโดยตรงในหุ้นเวียดนามขนาดใหญ่ที่มีคุณภาพดี สามารถทำผลการดำเนินงานที่โดดเด่น โดยนับจากเดือนมกราคม - กรกฎาคม 2566 หรือ 7 เดือนแรกของปีนี้ ให้อัตราผลตอบแทน 21.19% สูงกว่าดัชนีชี้วัดที่ทำได้ 17.81% ตอกย้ำถึงศักยภาพของกองทุนเปิด PRINCIPAL VNEQ ที่ได้รับมอร์นิ่งสตาร์ 5 ดาว และความเชี่ยวชาญของทีมบริหารจัดการกองทุนของ บลจ. พรินซิเพิล (ผลการดำเนินงาน 3 เดือน 18.45%, 6 เดือน 12.71% และ 1 ปี -2.84% ดัชนีเปรียบเทียบ 17.08%, 11.27%, - 12.27% ตามลำดับ)

ปัจจุบันแม้ราคาหุ้นเวียดนามปรับเพิ่มขึ้น แต่ยังคงเป็นโอกาสเข้าลงทุน โดยปัจจัยที่ควรลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามผ่านกองทุนเปิด PRINCIPAL VNEQ ได้แก่ เศรษฐกิจเวียดนามมีศักยภาพเติบโตในระยะยาว โดยคาดว่าเศรษฐกิจเวียดนามจะเติบโตในระดับ 6.72% ต่อปี ในอีก 5 ปีข้างหน้า (ปี 2567 – 2571) จากการกระจายตัวของสังคมเมือง การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ และการท่องเที่ยว ในขณะที่รัฐบาลและธนาคารกลางเวียดนาม (SBV) ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลดีต่อภาคธุรกิจต่างๆ โดยหลังจาก SBV ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อแก้ปัญหาอัตราเงินเฟ้อที่สูงในปี 2565 จนอัตราเงินเฟ้อลดลง SBV ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงตั้งแต่เดือนเมษายน 2566 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงออกมาตรการต่าง ๆเพื่อรับมือกับปัญหาการผิดนัดชำระหนี้และการเกิดหนี้เสียในภาคอสังหาริมทรัพย์  ในมุมมองด้านตลาดหุ้นเวียดนามมีแนวโน้มเติบโตสูง แต่ราคายังค่อนข้างต่ำ หากเทียบกับตลาดหุ้นในเอเชีย โดยคาดการณ์ว่านับจากปี 2561 – 2567 อัตรากำไรต่อหุ้นของตลาดหุ้นเวียดนามจะเติบโตเฉลี่ย 14% ต่อปี ในขณะที่มูลค่าของตลาดหุ้นเวียดนามในปัจจุบันยังคงอยู่ในระดับที่น่าสนใจลงทุน โดยมีค่า P/E ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ -1SDสะท้อนต่อนักลงทุนรายย่อยกลับเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้นในตลาดหุ้นเวียดนาม ส่งผลดีต่อสภาพคล่องการซื้อขาย 

นายจุมพล กล่าวว่า ความสำเร็จที่ทำให้กองทุนเปิด PRINCIPAL VNEQ สร้างผลงานที่โดดเด่นเป็นอันดับ 1 ของกลุ่มกองทุนหุ้นเวียดนามในประเทศไทย  เพราะเรามีการบริหารโดยทีมผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญทั้งชาวไทยและเวียดนาม วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานหุ้นแบบ Bottom up เน้นกระจายการลงทุนในหุ้นคุณภาพด้วยกลยุทธ์เลือกหุ้นเป็นรายตัว และ วิเคราะห์ Top down เพื่อศึกษาปัจจัยพื้นฐานของตลาดในแต่ละช่วงเวลา ร่วมกับการทำรีเสิร์ชภายในและระดับภูมิภาค ตลอดจนการลงพื้นที่เพื่อเยี่ยมชมกิจการของบริษัทที่เข้าลงทุน เพื่อนำมาวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานให้ได้ผลลัพธ์การลงทุนที่ดีที่สุด

“ขณะที่มุมมองการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามครึ่งปีหลังของปีนี้ คาดว่าจะได้รับปัจจัยบวกจากการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะหยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางเวียดนามตั้งแต่เดือนเมษายน 2566 ที่ทำให้ต้นทุนทางการเงินลดลง ส่งผลดีกับการบริโภคในประเทศซึ่งจะแสดงตัวเลขผ่านดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อและการค้าปลีกที่จะปรับตัวขึ้น และเวียดนามมีจำนวนนักท่องเที่ยวเป็นไปตามเป้าของรัฐบาล ซึ่งช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามคือหุ้นกู้ที่ครบกำหนดของบริษัทต่างๆ การส่งออกในบางกลุ่มอุตสาหกรรม คาดการณ์รายได้และกำไรที่ลดลงหลังผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 บางบริษัทไม่เป็นตามที่คาดการณ์ และคุณภาพสินทรัพย์ โดยทีมบริหารจัดการได้วางกลยุทธ์มุ่งเน้นการคัดเลือกหุ้นที่จะเป็นผู้ชนะในระยะยาว มีส่วนแบ่งการตลาดที่ชัดเจน มีอำนาจต่อรองด้านราคาเพื่อลดผลกระทบด้านต้นทุน มีปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตเชิงโครงสร้างและมีธรรมภิบาล” นายจุมพล กล่าว