จับประเด็นหุ้นเด่น
รายงานพิเศษ : DTCENT ขยายฐานเจาะตลาดรถส่วนบุคคล เดินหน้าเปิดศูนย์บริการสิ้นปีแตะ 8 แห่ง
01 กันยายน 2566
ตลาดรถยนต์ส่วนบุคคลยังเติบโตได้ดี หนุนกลยุทธ์บมจ.ดี.ที.ซี. เอ็นเตอร์ไพรส์ (DTCENT) ที่หันมาขยายฐานลูกค้ารายย่อย ตั้งเป้าสิ้นปีเปิดศูนย์บริการจำหน่ายกล้องวงจรปิด กล้องบันทึกภาพหน้ารถและซ่อมบำรุงอุปกรณ์ GPS Tracking ครบ 8 แห่ง ปี 2567 เปิดเพิ่มอีก 20 แห่ง
บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด รายงานภาวะตลาดรถยนต์เดือนกรกฎาคม 2566 ในส่วนของยอดขายในเซกเมนท์รถยนต์นั่งขนาดเล็กที่ 16,308 คัน เติบโต 18.1% ซึ่งสวนทางกับตลาดรถยนต์โดยรวมที่ยังปรับลดลง เนื่องจากตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ชะลอตัวต่อเนื่องที่ 19.9% ด้วยยอดขาย 35,908 คัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน ชะลอตัวถึง 26.6% ด้วยยอดขาย 24,982 คัน จากการชะลอการตัดสินใจซื้ออย่างต่อเนื่องของภาคธุรกิจ และภาคประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของธุรกิจขนส่ง โดยมีปัจจัยลบที่สำคัญอย่างยิ่งคือความเข้มงวดของสถาบันการเงิน ที่มีความกังวลต่อหนี้เสียอันเป็นผลต่อเนื่องที่เกิดจากสภาวะเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา
แต่คาดว่าตลาดรถยนต์ในเดือนสิงหาคม มีความหวังที่จะฟื้นตัวขึ้น จากความชัดเจนในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาพรวมทางเศรษฐกิจของประเทศ ตลอดจนความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจิตวิทยาการบริโภคในการใช้เงินเพื่อจับจ่ายใช้สอย ก่อให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลดีต่อตลาดรถยนต์ โดยมีปัจจัยเสริมที่สำคัญได้แก่ แคมเปญการตลาดในช่วงงาน Bangkok International Grand Motor Sale 2023 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25 สิงหาคม - 3 กันยายนนี้นอกจากช่วยกระตุ้นยอดขายรถยนต์ภายในงาน ยังขยายข้อเสนอพิเศษไปยังโชว์รูมผู้แทนจำหน่ายทั่วประเทศอีกด้วย และนับเป็นโอกาสดีที่ทำให้ผู้บริโภคสามารถเป็นเจ้าของรถยนต์ได้ง่ายขึ้น
ยอดขายรถยนต์ขนาดเล็กที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดี เป็นปัจจัยสนับสนุนกลยุทธ์การตลาดในช่วงครึ่งปีหลังปี 2566 ของ บมจ.ดี.ที.ซี. เอ็นเตอร์ไพรส์ (DTCENT) โดย “ทศพล คุณะเพิ่มศิริ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ระบุแผนการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทยังคงเดินหน้าเปิดศูนย์บริการสำหรับ จำหน่าย ติดตั้งและซ่อมบำรุงอุปกรณ์ GPS Tracking ในสถานีบริการน้ำมัน โดยได้เปิดให้บริการไปแล้ว 1 แห่ง ณ ถนนบางนา-ตราด กม.6 ขณะเดียวกัน อยู่ระหว่างการขยายสาขาเพิ่มในเส้นทางหลักต่างๆ ของกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมทั้งหัวเมืองใหญ่ เช่น จังหวัดอุดรธานี ขอนแก่น นครราชสีมา เชียงใหม่ เป็นต้น
ซึ่งในศูนย์บริการฯ นอกจากจะมีบริการติดตั้งและซ่อมบำรุงอุปกรณ์ GPS Tracking แล้ว ยังมีการจำหน่ายกล้องวงจรปิด กล้องบันทึกภาพหน้ารถ มุ่งเน้นขยายไปยังกลุ่มลูกค้าที่ใช้รถยนต์ส่วนบุคคลมากขึ้นจากเดิมที่เป็นกลุ่มรถขนส่งขนาดใหญ่ เนื่องจากต้องการขยายฐานลูกค้าเพิ่มเติม โดยมีเป้าหมายการเปิดศูนย์บริการฯ ให้ครบ 8 แห่งภายในปีนี้ ส่วนในปี 2567 มีแผนที่จะเปิดสาขาเพิ่มอีก 20 แห่ง ให้ครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ
ขณะที่งานด้าน IoT Solution และระบบ AI รองรับการขยายโครงการของภาครัฐ และเทศบาลต่างๆ ซึ่งบริษัทได้รับงานโครงการระบบ AI เพื่อบริหารจัดการเครื่องสูบน้ำ ของสำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร ส่วน BAMS (Business Activity Management System) เปิดให้บริการบนเว็บไซต์และแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟนเรียบร้อยแล้ว ในส่วนของระบบ BIM (Building Information Modeling), EV Platform, Logistics Demand-Supply Matching Platform คาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในปีนี้
สำหรับความคืบหน้าการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนเป็นการนำโมเดล ระบบ GPS Tracking และ IoT Solution ร่วมกับพันธมิตรในต่างประเทศ ล่าสุด ได้ลงนามสัญญากับบริษัท สุดาพอนการค้า ขาเข้า-ขาออก และบริการ จำกัด และบริษัท พีทีแอล โฮลดิ้ง จำกัด เพื่อร่วมลงทุนจัดตั้ง บริษัท ดี.ที.ซี. ลาว จำกัด ที่ สปป.ลาว ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนเตรียมจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท มั่นใจว่าปัจจัยเหล่านี้จะเป็นส่วนช่วยสนับสนุนผลงานในปีนี้เติบโตที่ระดับ 10-15%
ส่วนความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ ประกอบด้วย บริษัท ยาซากิ เอ็นเนอร์จี ซิสเท็ม คอร์ปอเรชั่น (YES) วางแผนที่จะพัฒนาให้บริษัทฯ เป็น Tier 1 Supplier ในงาน OEM สำหรับอุปกรณ์ GPS Tracking และ Telematics ให้กับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศ อาจจะต้องใช้เวลาในการพัฒนาสินค้าร่วมกัน และคาดว่า จะเห็นความชัดเจนภายในปีหน้าเพิ่มขึ้น ส่วนบริษัท บุญรอด ซัพพลายเชน จำกัด (BRS) ขณะนี้ ร่วมวางแผนงานการดำเนินธุรกิจ ในด้านการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) และพัฒนาผลิตภัณฑ์ Supply Chain Solutions ใหม่ๆ เพื่อช่วยลดต้นทุน เพิ่มรายได้ และเสริมประสิทธิภาพในการทำงานให้กับบริษัทฯ
นอกจากนี้ DTCENT ร่วมกับบริษัท บุญรอด ซัพพลายเชนฯ กำลังศึกษาการเข้าลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลัก ในรูปแบบการทำ M&A ในบริษัทที่มีผลประกอบการที่ดีต่อเนื่อง คาดว่า จะมีความชัดเจนภายในปีหน้า
บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด รายงานภาวะตลาดรถยนต์เดือนกรกฎาคม 2566 ในส่วนของยอดขายในเซกเมนท์รถยนต์นั่งขนาดเล็กที่ 16,308 คัน เติบโต 18.1% ซึ่งสวนทางกับตลาดรถยนต์โดยรวมที่ยังปรับลดลง เนื่องจากตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ชะลอตัวต่อเนื่องที่ 19.9% ด้วยยอดขาย 35,908 คัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน ชะลอตัวถึง 26.6% ด้วยยอดขาย 24,982 คัน จากการชะลอการตัดสินใจซื้ออย่างต่อเนื่องของภาคธุรกิจ และภาคประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของธุรกิจขนส่ง โดยมีปัจจัยลบที่สำคัญอย่างยิ่งคือความเข้มงวดของสถาบันการเงิน ที่มีความกังวลต่อหนี้เสียอันเป็นผลต่อเนื่องที่เกิดจากสภาวะเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา
แต่คาดว่าตลาดรถยนต์ในเดือนสิงหาคม มีความหวังที่จะฟื้นตัวขึ้น จากความชัดเจนในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาพรวมทางเศรษฐกิจของประเทศ ตลอดจนความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจิตวิทยาการบริโภคในการใช้เงินเพื่อจับจ่ายใช้สอย ก่อให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลดีต่อตลาดรถยนต์ โดยมีปัจจัยเสริมที่สำคัญได้แก่ แคมเปญการตลาดในช่วงงาน Bangkok International Grand Motor Sale 2023 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25 สิงหาคม - 3 กันยายนนี้นอกจากช่วยกระตุ้นยอดขายรถยนต์ภายในงาน ยังขยายข้อเสนอพิเศษไปยังโชว์รูมผู้แทนจำหน่ายทั่วประเทศอีกด้วย และนับเป็นโอกาสดีที่ทำให้ผู้บริโภคสามารถเป็นเจ้าของรถยนต์ได้ง่ายขึ้น
ยอดขายรถยนต์ขนาดเล็กที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดี เป็นปัจจัยสนับสนุนกลยุทธ์การตลาดในช่วงครึ่งปีหลังปี 2566 ของ บมจ.ดี.ที.ซี. เอ็นเตอร์ไพรส์ (DTCENT) โดย “ทศพล คุณะเพิ่มศิริ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ระบุแผนการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทยังคงเดินหน้าเปิดศูนย์บริการสำหรับ จำหน่าย ติดตั้งและซ่อมบำรุงอุปกรณ์ GPS Tracking ในสถานีบริการน้ำมัน โดยได้เปิดให้บริการไปแล้ว 1 แห่ง ณ ถนนบางนา-ตราด กม.6 ขณะเดียวกัน อยู่ระหว่างการขยายสาขาเพิ่มในเส้นทางหลักต่างๆ ของกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมทั้งหัวเมืองใหญ่ เช่น จังหวัดอุดรธานี ขอนแก่น นครราชสีมา เชียงใหม่ เป็นต้น
ซึ่งในศูนย์บริการฯ นอกจากจะมีบริการติดตั้งและซ่อมบำรุงอุปกรณ์ GPS Tracking แล้ว ยังมีการจำหน่ายกล้องวงจรปิด กล้องบันทึกภาพหน้ารถ มุ่งเน้นขยายไปยังกลุ่มลูกค้าที่ใช้รถยนต์ส่วนบุคคลมากขึ้นจากเดิมที่เป็นกลุ่มรถขนส่งขนาดใหญ่ เนื่องจากต้องการขยายฐานลูกค้าเพิ่มเติม โดยมีเป้าหมายการเปิดศูนย์บริการฯ ให้ครบ 8 แห่งภายในปีนี้ ส่วนในปี 2567 มีแผนที่จะเปิดสาขาเพิ่มอีก 20 แห่ง ให้ครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ
ขณะที่งานด้าน IoT Solution และระบบ AI รองรับการขยายโครงการของภาครัฐ และเทศบาลต่างๆ ซึ่งบริษัทได้รับงานโครงการระบบ AI เพื่อบริหารจัดการเครื่องสูบน้ำ ของสำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร ส่วน BAMS (Business Activity Management System) เปิดให้บริการบนเว็บไซต์และแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟนเรียบร้อยแล้ว ในส่วนของระบบ BIM (Building Information Modeling), EV Platform, Logistics Demand-Supply Matching Platform คาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในปีนี้
สำหรับความคืบหน้าการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนเป็นการนำโมเดล ระบบ GPS Tracking และ IoT Solution ร่วมกับพันธมิตรในต่างประเทศ ล่าสุด ได้ลงนามสัญญากับบริษัท สุดาพอนการค้า ขาเข้า-ขาออก และบริการ จำกัด และบริษัท พีทีแอล โฮลดิ้ง จำกัด เพื่อร่วมลงทุนจัดตั้ง บริษัท ดี.ที.ซี. ลาว จำกัด ที่ สปป.ลาว ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนเตรียมจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท มั่นใจว่าปัจจัยเหล่านี้จะเป็นส่วนช่วยสนับสนุนผลงานในปีนี้เติบโตที่ระดับ 10-15%
ส่วนความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ ประกอบด้วย บริษัท ยาซากิ เอ็นเนอร์จี ซิสเท็ม คอร์ปอเรชั่น (YES) วางแผนที่จะพัฒนาให้บริษัทฯ เป็น Tier 1 Supplier ในงาน OEM สำหรับอุปกรณ์ GPS Tracking และ Telematics ให้กับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศ อาจจะต้องใช้เวลาในการพัฒนาสินค้าร่วมกัน และคาดว่า จะเห็นความชัดเจนภายในปีหน้าเพิ่มขึ้น ส่วนบริษัท บุญรอด ซัพพลายเชน จำกัด (BRS) ขณะนี้ ร่วมวางแผนงานการดำเนินธุรกิจ ในด้านการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) และพัฒนาผลิตภัณฑ์ Supply Chain Solutions ใหม่ๆ เพื่อช่วยลดต้นทุน เพิ่มรายได้ และเสริมประสิทธิภาพในการทำงานให้กับบริษัทฯ
นอกจากนี้ DTCENT ร่วมกับบริษัท บุญรอด ซัพพลายเชนฯ กำลังศึกษาการเข้าลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลัก ในรูปแบบการทำ M&A ในบริษัทที่มีผลประกอบการที่ดีต่อเนื่อง คาดว่า จะมีความชัดเจนภายในปีหน้า