จับประเด็นหุ้นเด่น
รายงานพิเศษ : LEO ตั้งเป้าเป็น “Blue Chip Stock” ผ่านยุทธศาสตร์ 365 degree Collaboration
08 กุมภาพันธ์ 2566
บมจ.ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ (LEO) นับหนึ่งเป้าหมายเป็นหุ้น “Blue Chip Stock” ผ่านยุทธศาสตร์ 365 degree Collaboration จับมือพันธมิตรพัฒนาธุรกิจ ปักหมุดย้ายเข้า SET ปี 67

หุ้นบลูชิพ หรือ “Blue chip stock” คือ หุ้นของบริษัทชั้นนำทั่วโลก ที่มีขนาดใหญ่ มีผลประกอบการเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั้งกลุ่มนักลงทุนและคนทั่วไป เป็นหุ้นบริษัทที่มีผลประกอบการและสถานะทางการเงินที่มั่นคง ทำให้เป็นหุ้นที่ได้รับการเลือกลงทุนเป็นอันดับต้นๆ ที่คาดหวังจะได้รับเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ
ซึ่งในการประกาศแผนธุรกิจปี 2566 ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ (LEO) “เกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์” ตั้งเป้าให้ปีนี้เป็นปีแห่งการก้าวเข้าสู่ความเป็นบริษัท Blue Chip Stock ของผู้ให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจร ที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดและยั่งยืน โดยวางเป้าการเติบโตของ Gross Profit Margin เพิ่มขึ้น 15-20% จากปีก่อน
โดยการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ ด้วยความคิด 365 Degree Collaboration ผ่านการนำจุดแข็งของแต่ละพันธมิตรมาพัฒนาธุรกิจและสร้าง Synergy (การผสานพลัง) ร่วมกัน ด้วยความเชื่อมั่นว่าการสร้าง Synergy ร่วมกันจะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่ใช่แค่ 1+1 = 2 แต่จะเป็น 3 หรือ 4 หรือ 5 และช่วยให้ LEO สามารถขยายขอบเขตของธุรกิจและการบริการได้มากขึ้น รวมถึงมีฐานของลูกค้าใหม่ได้หลากหลาย สอดคล้องกับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นไปสู่การเป็น Blue Chip Stock
นอกจากนี้บริษัทจะเน้นการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่เป็น Non Freight และมีกำไรขั้นต้นมากกว่า 40-45% เช่น Self Storage,Container Depot, Warehouse & Logistics Center และ Cold Chain Logistics โดยจะร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อพัฒนาโครงการ ใหม่ๆ เช่น การเปิด Self Storage สาขาที่ 3 และพัฒนาโครงการ Warehouse & Logistics Center ร่วมกับ บริษัท เอชเค แอสเซท แมเนจเมนท์ จำกัด ในเครือ บมจ.เสนา ดีเวลอบเม้นท์ (SENA) , การพัฒนาธุรกิจ Cold Chain Logistics กับบมจ.สหไทย เทอร์มินัล (PORT)
และในปี 66 นี้บริษัทจะเปิดบริการ Self Storage แห่งที่ 4 และลานเก็บตู้คอนเทนเนอร์ (Container Depot) แห่งที่ 2 ซึ่งเมื่อรวมรายได้จากบริษัท JV ใหม่ที่เกิดขึ้นและการขยายงานของทางบริษัทเองจะทำให้รายได้ของธุรกิจ Non-Freight เติบโตก้าวกระโดดในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า
ด้านธุรกิจการขนส่งสินค้า บริษัทมีความพร้อมในการพัฒนาและทำการตลาดการขนส่งสินค้าทางรถไฟระหว่างไทย-จีน แบบ End-to-End กับบริษัท เบาไทย อินเด็กซ์ แอสโซซิเอท จำกัด และ บริษัท ศรีตรังโลจิสติกส์ จำกัด ภายใต้ชื่อ บริษัท ล้านช้าง เอ๊กซ์เพรส จำกัด และปัจจุบันกำลังศึกษาตั้งบริษัท JV อีกหนึ่งบริษัทเพื่อลงทุนในระบบการขนส่งสินค้า Cold Chain ไปยังประเทศจีนทางรถไฟ เพื่อรองรับการส่งออกสินค้าผลไม้จากไทยไปจีนทางบกที่มีปริมาณสูงถึง 420,000 ตันต่อปี และมีมูลค่าส่งออกมากกว่า 3.3 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ทาง LEO มีความพร้อมที่สุดในแง่ของเครือข่าย ระบบ และ โครงสร้างพื้นฐาน ที่จะให้การบริการขนส่งสินค้าทางรถไฟไปยังประเทศจีน
ส่วนการพัฒนาธุรกิจใหม่ๆ ที่เป็น Non Logistics เช่น การต่อยอดธุรกิจกัญชงและกัญชาที่ได้มีการลงนาม MOU กับวิสาหกิจชุนชนสุขฤทัย และบริษัท แคนบิซ จำกัด รวมถึงการพัฒนาธุรกิจการเป็นตัวแทนในการซื้อสินค้าจากประเทศไทย เพื่อส่งให้ E-commerce Platform ของ China Post และ Tengjin ภายใต้ชื่อ บริษัท ลีโอ ซอร์สซิ่ง แอนด์ ซัพพลายเชน จำกัด ที่ปัจจุบันมีคำสั่งซื้อสินค้าที่เป็นทุเรียนและผลไม้อื่นๆเข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยบริษัทฯเชื่อว่าธุรกิจ Non Freight และ Non-Logistics ใหม่ทั้งหมดนี้จะมาช่วยทดแทนรายได้จากค่าระวางเรือที่เริ่มปรับตัวลดลงตามแนวโน้มอุตสาหกรรมได้เป็นอย่างดี
อีกทั้งบริษัทฯ ยังคงเดินหน้าเรื่องการเจรจาเพื่อซื้อกิจการ (M&A) กับพันธมิตรที่เป็นบริษัทชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประเทศกัมพูชา แคนาดา เบลเยี่ยม สิงคโปร์ และจีนอีกหลายโครงการ คาดว่าจะมีความชัดเจนในไตรมาส 1-2/66 และสรุปได้ภายในไตรมาส 3/66 ซึ่งการ M&A หลายๆ โครงการนี้ จะสนับสนุนการเติบโตทั้งในด้านธุรกิจและรายได้อย่างก้าวกระโดด โดยบริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ใหม่ๆที่เกิดจากธุรกิจ JV และ M&A ประมาณ 500-600 ล้านบาทในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า
นอกจากนี้ LEO ในฐานะที่เป็น End-to-End Logistics Services Provider มีแผนร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจที่จะให้บริการในลักษณะของ Green Logistics พัฒนาให้บริการขนส่งและการกระจายสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโดยใช้รถพลังงานไฟฟ้า ลดการใช้พลังงานที่ก่อให้เกิดมลพิษหรือก่อให้เกิดขยะ มุ่งเน้นการลดมลพิษทางอากาศจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ รวมถึงพัฒนาระบบการให้บริการให้อยู่ในระบบดิจิทัล เพื่อลดการสิ้นเปลืองในการใช้กระดาษ โดยมีเป้าหมายที่จะทำให้สามารถลดภาวะโลกร้อนและเปลี่ยนให้เป็น Carbon Credit ให้กับลูกค้าของเรา และทำให้ลูกค้าของเราได้รับการยอมรับในการดำเนินธุรกิจในระดับนานาชาติ โดยเฉพาะในทวีปยุโรปที่ให้ความสำคัญกับเรื่อง ESG และการลด Carbon Footprint เป็นอย่างมาก
"บริษัทสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดดตามคำมั่นสัญญาที่ให้กับนักลงทุนตั้งแต่ที่เข้ามาเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อ 2 ปีที่แล้ว และมีความมุ่งมั่นที่จะผลักดันให้ LEO สามารถย้ายเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้ภายในปี 67 เพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายของบริษัทฯที่จะเป็นหนึ่งในหุ้น Blue Chip Stock ของธุรกิจผู้ให้บริการโลจิสติกส์อย่างครบวงจรในประเทศไทยที่มีการเติบโตยั่งยืน สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นได้อย่างสม่ำเสมอ" นายเกตติวิทย์ กล่าว

หุ้นบลูชิพ หรือ “Blue chip stock” คือ หุ้นของบริษัทชั้นนำทั่วโลก ที่มีขนาดใหญ่ มีผลประกอบการเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั้งกลุ่มนักลงทุนและคนทั่วไป เป็นหุ้นบริษัทที่มีผลประกอบการและสถานะทางการเงินที่มั่นคง ทำให้เป็นหุ้นที่ได้รับการเลือกลงทุนเป็นอันดับต้นๆ ที่คาดหวังจะได้รับเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ
ซึ่งในการประกาศแผนธุรกิจปี 2566 ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ (LEO) “เกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์” ตั้งเป้าให้ปีนี้เป็นปีแห่งการก้าวเข้าสู่ความเป็นบริษัท Blue Chip Stock ของผู้ให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจร ที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดและยั่งยืน โดยวางเป้าการเติบโตของ Gross Profit Margin เพิ่มขึ้น 15-20% จากปีก่อน
โดยการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ ด้วยความคิด 365 Degree Collaboration ผ่านการนำจุดแข็งของแต่ละพันธมิตรมาพัฒนาธุรกิจและสร้าง Synergy (การผสานพลัง) ร่วมกัน ด้วยความเชื่อมั่นว่าการสร้าง Synergy ร่วมกันจะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่ใช่แค่ 1+1 = 2 แต่จะเป็น 3 หรือ 4 หรือ 5 และช่วยให้ LEO สามารถขยายขอบเขตของธุรกิจและการบริการได้มากขึ้น รวมถึงมีฐานของลูกค้าใหม่ได้หลากหลาย สอดคล้องกับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นไปสู่การเป็น Blue Chip Stock
นอกจากนี้บริษัทจะเน้นการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่เป็น Non Freight และมีกำไรขั้นต้นมากกว่า 40-45% เช่น Self Storage,Container Depot, Warehouse & Logistics Center และ Cold Chain Logistics โดยจะร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อพัฒนาโครงการ ใหม่ๆ เช่น การเปิด Self Storage สาขาที่ 3 และพัฒนาโครงการ Warehouse & Logistics Center ร่วมกับ บริษัท เอชเค แอสเซท แมเนจเมนท์ จำกัด ในเครือ บมจ.เสนา ดีเวลอบเม้นท์ (SENA) , การพัฒนาธุรกิจ Cold Chain Logistics กับบมจ.สหไทย เทอร์มินัล (PORT)
และในปี 66 นี้บริษัทจะเปิดบริการ Self Storage แห่งที่ 4 และลานเก็บตู้คอนเทนเนอร์ (Container Depot) แห่งที่ 2 ซึ่งเมื่อรวมรายได้จากบริษัท JV ใหม่ที่เกิดขึ้นและการขยายงานของทางบริษัทเองจะทำให้รายได้ของธุรกิจ Non-Freight เติบโตก้าวกระโดดในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า
ด้านธุรกิจการขนส่งสินค้า บริษัทมีความพร้อมในการพัฒนาและทำการตลาดการขนส่งสินค้าทางรถไฟระหว่างไทย-จีน แบบ End-to-End กับบริษัท เบาไทย อินเด็กซ์ แอสโซซิเอท จำกัด และ บริษัท ศรีตรังโลจิสติกส์ จำกัด ภายใต้ชื่อ บริษัท ล้านช้าง เอ๊กซ์เพรส จำกัด และปัจจุบันกำลังศึกษาตั้งบริษัท JV อีกหนึ่งบริษัทเพื่อลงทุนในระบบการขนส่งสินค้า Cold Chain ไปยังประเทศจีนทางรถไฟ เพื่อรองรับการส่งออกสินค้าผลไม้จากไทยไปจีนทางบกที่มีปริมาณสูงถึง 420,000 ตันต่อปี และมีมูลค่าส่งออกมากกว่า 3.3 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ทาง LEO มีความพร้อมที่สุดในแง่ของเครือข่าย ระบบ และ โครงสร้างพื้นฐาน ที่จะให้การบริการขนส่งสินค้าทางรถไฟไปยังประเทศจีน
ส่วนการพัฒนาธุรกิจใหม่ๆ ที่เป็น Non Logistics เช่น การต่อยอดธุรกิจกัญชงและกัญชาที่ได้มีการลงนาม MOU กับวิสาหกิจชุนชนสุขฤทัย และบริษัท แคนบิซ จำกัด รวมถึงการพัฒนาธุรกิจการเป็นตัวแทนในการซื้อสินค้าจากประเทศไทย เพื่อส่งให้ E-commerce Platform ของ China Post และ Tengjin ภายใต้ชื่อ บริษัท ลีโอ ซอร์สซิ่ง แอนด์ ซัพพลายเชน จำกัด ที่ปัจจุบันมีคำสั่งซื้อสินค้าที่เป็นทุเรียนและผลไม้อื่นๆเข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยบริษัทฯเชื่อว่าธุรกิจ Non Freight และ Non-Logistics ใหม่ทั้งหมดนี้จะมาช่วยทดแทนรายได้จากค่าระวางเรือที่เริ่มปรับตัวลดลงตามแนวโน้มอุตสาหกรรมได้เป็นอย่างดี
อีกทั้งบริษัทฯ ยังคงเดินหน้าเรื่องการเจรจาเพื่อซื้อกิจการ (M&A) กับพันธมิตรที่เป็นบริษัทชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประเทศกัมพูชา แคนาดา เบลเยี่ยม สิงคโปร์ และจีนอีกหลายโครงการ คาดว่าจะมีความชัดเจนในไตรมาส 1-2/66 และสรุปได้ภายในไตรมาส 3/66 ซึ่งการ M&A หลายๆ โครงการนี้ จะสนับสนุนการเติบโตทั้งในด้านธุรกิจและรายได้อย่างก้าวกระโดด โดยบริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ใหม่ๆที่เกิดจากธุรกิจ JV และ M&A ประมาณ 500-600 ล้านบาทในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า
นอกจากนี้ LEO ในฐานะที่เป็น End-to-End Logistics Services Provider มีแผนร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจที่จะให้บริการในลักษณะของ Green Logistics พัฒนาให้บริการขนส่งและการกระจายสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโดยใช้รถพลังงานไฟฟ้า ลดการใช้พลังงานที่ก่อให้เกิดมลพิษหรือก่อให้เกิดขยะ มุ่งเน้นการลดมลพิษทางอากาศจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ รวมถึงพัฒนาระบบการให้บริการให้อยู่ในระบบดิจิทัล เพื่อลดการสิ้นเปลืองในการใช้กระดาษ โดยมีเป้าหมายที่จะทำให้สามารถลดภาวะโลกร้อนและเปลี่ยนให้เป็น Carbon Credit ให้กับลูกค้าของเรา และทำให้ลูกค้าของเราได้รับการยอมรับในการดำเนินธุรกิจในระดับนานาชาติ โดยเฉพาะในทวีปยุโรปที่ให้ความสำคัญกับเรื่อง ESG และการลด Carbon Footprint เป็นอย่างมาก
"บริษัทสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดดตามคำมั่นสัญญาที่ให้กับนักลงทุนตั้งแต่ที่เข้ามาเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อ 2 ปีที่แล้ว และมีความมุ่งมั่นที่จะผลักดันให้ LEO สามารถย้ายเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้ภายในปี 67 เพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายของบริษัทฯที่จะเป็นหนึ่งในหุ้น Blue Chip Stock ของธุรกิจผู้ให้บริการโลจิสติกส์อย่างครบวงจรในประเทศไทยที่มีการเติบโตยั่งยืน สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นได้อย่างสม่ำเสมอ" นายเกตติวิทย์ กล่าว