จับประเด็นหุ้นเด่น

รายงานพิเศษ : บล.กรุงศรีให้ SFLEX “ดาวรุ่งพุ่งแรง” ผลประกอบการแข็งแกร่ง


04 กันยายน 2566
บล.กรุงศรีให้ หุ้นบมจ. สตาร์เฟล็กซ์ หรือ (SFLEX) ว่าเป็นดาวรุ่งพุ่งแรง จากผลประกอบการที่แข็งแกร่งในปีนี้  และยังมีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ผู้บริหารมั่นใจรายได้ปีนี้จะทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์จากตลาดในประเทศและการร่วมทุนในประเทศเวียดนาม

รายงานพิเศษ บล.กรุงศรีให้ SFLEX “ดาวรุ่งพุ่งแ.jpg

บริษัทหลักทรัพย์กรุงศรีจำกัด (มหาชน) วิเคราะห์หุ้นบมจ. สตาร์เฟล็กซ์ หรือ (SFLEX) ว่าเป็นดาวรุ่งพุ่งแรง จากผลประกอบการที่แข็งแกร่งใน 2Q23 ซึ่งออกมาดีกว่า consensus  กว่า 14% จะเป็นจุดเริ่มต้นที่พิสูจน์ว่าแนวโน้มของ SFLEX ในระยะต่อไป ว่ากำไรจะเติบอย่างแข็งแกร่งไปตลอดช่วงที่เหลือของปีนี้ นอกจากนี้ บริษัทยังมีปัจจัยกระตุ้นสำคัญที่จะช่วยหนุนกำไรในปี 24FY และ 25F อีก ดังนั้น เราจึงแนะนำซื้อ SLFEX โดยประเมินราคาเป้าหมายที่ 5.60 บาท อิงจาก P/E ที่ 20x (ค่าเฉี่ย -1S.D.)
บล.กรุงศรีคาดว่า กำไรสุทธิของ SFLEX ในปี 2023F จะพุ่งสูงขึ้นและทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 187 ล้านบาท (+240% yoy) เนื่องจาก

(i) รายได้เพิ่มขึ้นเพราะได้คำสั่งซื้อสินค้าในกลุ่มอุปกรณ์การแพทย์เพิ่มขึ้น

(ii) GPM ดีขึ้นอย่างมากหลังจากที่บริษัทส่งผ่านต้นทุนวัตถุดิบไปให้ลูกค้า JVs จะช่วยหนุนการเติบโตในระยะยาว บริษัทปิดดีลที่จะเข้าไปลงทุน Star Print Vietnam (SPV) ร่วมกับ SCG Packaging (SCGP TB, NR) เรียบร้อยแล้ว ซึ่งการลงทุนใน SPV จะช่วยหนุนให้กำไรเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 2024 นอกจากนี้ การลงทุนร่วมกับ Thai Union Group (TU TB, NR) เพื่อตั้งโรงงานบรรจุภัณฑ์แห่งใหม่ Star Union ก็ยังเป็นไปตามแผน ซึ่งจะเริ่มสร้างรายได้ให้กับ SFLEX เพิ่มขึ้นในปี 2025
นอกจากนี้บริษัทมีปัจจัยกระตุ้นอีกหลายปัจจัยรออยู่ข้างหน้า ซึ่งได้แก่

(i) ผลกำไรที่มีแนวโน้มจะทำสถิติสูงสุดใหม่ในปี 2023 และ 2024

(ii) JVs สองแห่งจะช่วยหนุนการเติบโตของกำไรในระยะยาว

บล.กรุงศรี จึงแนะนำให้ซื้อ SFLEX โดยประเมินราคาเป้าหมายปี FY24 ที่ 5.60 บาท อิงจาก P/E ที่ 20x (ค่าเฉลี่ย -1S.D.) ในขณะที่สัดส่วน PEG เทียบกับอัตราการเติบโตสองปี CAGR (2024-2025) อยู่ที่ 1.11x ทั้งนี้ หากประเมินมูลค่าเหมาะสมด้วยวิธี DCF จะอยู่ที่ 5.70 บาท
ขณะที่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SFLEX “ดร.สมโภชน์ วัลยะเสวี” ระบุผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยในไตรมาส 2/2566 สามารถสร้างผลกำไรเติบโตต่อเนื่องจากการไตรมาสแรกที่ทำได้ 40.7 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นQoQประมาณ 23.7% และเติบโตโดดเด่นเพิ่มขึ้นYoYถึง 1,356% ทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากการบริหารจัดการต้นทุนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสร้างโมเดลการบริหารจัดการวัตถุดิบอย่างเป็นระบบกับsuppliersทั้งในและต่างประเทศ และมีการปรับปรุงประสิทธิภาพของเครื่องจักรในการผลิต รวมถึงการมุ่งเน้นกลยุทธ์การขายสินค้าที่มีมูลค่าสูง
ขณะเดียวกัน ผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปี บริษัทฯ มีรายได้รวม 945.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.0% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 829.4 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 91.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 340.7% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 16.8 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ มีกำไรสุทธิงวด 6 เดือนมากกว่าของกำไรสุทธิของทั้งปี 2565
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปีช่วงที่เหลือของปี บริษัทฯ คงเป้าหมายรายได้ของธุรกิจหลักแบบOrganic growth  อยู่ที่ประมาณ 1,800  1,850 ล้านบาท  ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2566 คาดว่าจะสามารถเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 2/2566 จากกลยุทธ์การขยายตลาดเชิงรุกในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง ประกอบกับการมุ่งเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มความยั่งยืนให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งเชื่อมั่นว่าช่วยผลักดันการเติบโตได้เพิ่มขึ้นในอนาคต เพื่อมุ่งสร้างความยั่งยืนของอัตรากำไรขั้นต้นให้มั่นคงในระยะยาว 
พร้อมกันนี้ บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าแผนการเข้าไปร่วมลงทุนในบริษัท Starprint Vietnam Joint Stock Company (SPV)ประเทศเวียดนาม กับผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ขนาดใหญ่รายหนึ่งจะเป็นการยกระดับ SFLEX และเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันในภูมิภาคอาเซียน สนับสนุนอนาคตเติบโตอย่างก้าวกระโดดต่อไป