Mr.Data
หลังได้รัฐบาลชุดใหม่ ภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย โดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 บรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นไทยกลับเข้าสู่ความคึกคักอีกครั้ง ท่ามกลางความคาดหวังเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศจะกลับมา หลังการเมืองไทยกลับมามีเสถียรภาพอีกครั้ง และการท่องเที่ยวที่เริ่มฟื้นตัว
สัปดาห์นี้ Mr.Data พามาสำรวจมุมมองของ 2 โบรกเกอร์จาก บล.กสิกรไทย และบล.เอเซีย พลัส เขามีมุมมองอย่างไร กับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในเดือนกันยายน 2566 พร้อมกับกลยุทธ์การลงทุน มาเล่าสู่กันฟัง
เริ่มจาก บล.กสิกรไทย แนะนำกลยุทธ์ลงทุนในเดือนกันยายน ภายใต้หัวข้อ “เข้าสู่ยุคใหม่” โดยประเมินว่า ตลาดหุ้นไทยจะเคลื่อนไหวออกด้านข้างหนุนจากกระแสเงินไหลเข้า แนวโน้มกำไรสุทธิที่เติบโตมากขึ้น เสถียรภาพทางการเมืองและการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวขึ้น
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยจะตามทันคู่แข่งจากการเปลี่ยนแปลงของสภาวะเศรษฐกิจมหภาคและปัจจัยแวดล้อมทางบวก
บล.กสิกรไทย คาดว่าตลาดหุ้นไทย ซึ่งปรับลดลง 6% YTD และเคลื่อนไหวช้ากว่าตลาดหุ้นทั่วโลก (MSCIACWI เพิ่มขึ้น 13% YTD) จะฟื้นตัวขึ้นในเดือนก.ย. ด้วยปัจจัยหนุนจาก 1) วัฎจักรการขั้นอัตราดอกเบี้ยที่สิ้นสุดลงจากอัตราเงินเฟ้อ และการเติบโตที่ชะลอตัวลง
“เราคาดว่ากระแสเงินทุนจะกลับเข้ามายังตลาดเกิดใหม่จากแนวโน้มสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนตัวลงและการฟื้นตัวที่น้อยลงของสภาวะเศรษฐกิจจีน”
2) แนวโน้มกำไรสุทธิที่เติบโตมากขึ้น (+17% YoY มาอยู่ที่ 1 ล้านลบ. ในปี 2567) และมูลค่าหุ้นที่ถูกลง 3) เสถียรภาพทางการเมืองหลังสิ้นสุดความขัดแย้งทางการเมืองที่มีมายาวนานกว่า 2 ทศวรรษระหว่างกลุ่มเสื้อเหลืองและเสื้อแดงซึ่งคาดจะช่วยหนุน FDI, กระแสเงินและการปรับเพิ่มตัวคูณมูลค่าหุ้น และ 4) การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวขึ้นหนุนจากโครงการยกเว้นวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวจากจีนและอินเดีย
โดยบล.กสิกรไทย ยังคงเป้า SET Index ของเราตามเดิมที่ 1,666 จุด คำนวณด้วยประมาณการ EPS ปี 2567 ที่ 107 บาท และ PE ล่วงหน้า 12 เดือนที่ 15.60 (+0.5SD)
“เราแนะนำให้นักลงทุนเพิ่มการลงทุนในตลาดหุ้นไทยจาก upside ต่อกำไรสุทธิจากปัจจัยหนุนข้างต้น เราแนะนำให้นักลงทุนเลือกสะสมหุ้นที่คาดจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์หลักจากนโยบายกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนจากรัฐบาลใหม่”
ส่วนธีมลงทุนในเดือนก.ย. แนะนำ 4 ธีมลงทุนหลัก
1.ผู้เล่นที่ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล (TIDLOR, CPALL, MEGA, AP, BBIK ADVANC) เราเลือกบริษัทที่คาดจะเป็นผู้ที่ได้ประโยชน์หลักจากนโยบายดิจิทัลวอลเลต 10,000 บาท, อัดฉีดรายได้, ลดค่าครองชีพและกระตุ้นตลาดที่อยู่อาศัยของพรรคเพื่อไทย
2.ผู้เล่นกลุ่มพลังงาน (TOP) เราคาดว่ากลุ่มโรงกลั่นจะได้ประโยชน์มากที่สุดจาก GRM และราคาน้ำมันที่สูงขึ้น
3.ผู้เล่นกลุ่มท่องเที่ยว (AOT, BA, BTS และ CPN) จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่คาดจะเพิ่มขึ้นในครึ่งหลังปีนี้หนุนจากแคมเปญฟรีวีซ่า
4.ผู้เล่นกลุ่มย้ายฐานการผลิตในภูมิภาค (AMATA และ SJWD) เราคาดว่ากลุ่มนิคมอุตสาหกรรม และโลจิสติกส์จะได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตระดับโลก
ขณะที่ บล.เอเซีย พลัส วิเคราะห์กลยุทธ์ลงทุนเดือน ก.ย. 2566 จะเป็นช่วงเยียวยา SET Index โดยปัจจัยมีทั้งดีและร้ายแต่ด้วยปัจจัยการเมืองเริ่มผ่อนคลาย ปริมาณการซื้อขายที่สูงกว่าช่วงก่อนหน้าช่วยหนุน SET มี Momentum ปรับขึ้นต่อได้
โดยรายละเอียดปัจจัยภายนอก และปัจจัยภายใน มีดังนี้
ปัจจัยภายนอก
1). วัฎจักรดอกเบี้ยขาขึ้นใกล้จบ หลังจาก Fed ขึ้นดอกเบี้ยมาแล้วใน 1 ปี 7 เดือน จาก 0.25% มาเป็น 5.5% ซึ่งสูงกว่าเงินเฟ้อปัจจุบันที่ลดลงเหลือ 3.3% พอสมควร ส่งผลให้ตลาดคาด Fed น่าจะคงดอกเบี้ยไปจนถึงต้นปี 2567 ก่อนทยอยปรับลง
2). รัฐบาลจีนเตรียมออกมาตการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม หลังเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวช้า และภาคอสังหาฯ มีหนี้สูง พร้อมผิดนัดชำระ ซึ่งประเทศไทยมีความสัมพันธ์ทางตรงกับจีนทั้งทางตร (เศรษฐกิจ) และทางอ้อม(ตลาดหุ้น)
ปัจจัยภายในประเทศ
1.) การเมืองมีพัฒนาการเชิงบวกมากเรื่อยๆ หลังผ่านระยะเวลาการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลใหม่มาเกินกว่า 3 เดือนครึ่ง และน่าจะเห็นการเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลใหม่ในช่วงที่เหลือของปี ทั้งการลดราคาพลังงาน, ฟรีค่าธรรมเนียม VISA สำหรับนักท่องเที่ยว และความคาดหวังการแจกเงิน Digital 10,000 บาท ในระยะถัดไป 2.) มูลค่าซื้อขายหุ้นไทยเริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังการเมืองคลี่คลาย โดยช่วงเดือน มิ.ย. – ก.ค. 66 อยู่ที่ 4 หมื่นล้านบาท/วัน สู่ระดับ 6 หมื่นล้านบาท/วัน ในช่วงหลังโหวตนายกฯ 3.) มีการปรับประมาณการลงทั้งในส่วน GDP Growth และ EPS66F หลังไตรมาส 2 ตัวเลขออกมาต่ำคาด
“ในมุมผลประกอบการ ฝ่ายวิจัยฯ ปรับลดประมาณการกำไรปี 2566 ลงจาก 1.12 แสนล้านบาท เหลือ 1.09 แสนล้านบาท คิดเป็น EPS66F จาก 91.8 บาท/หุ้น เหลือ 88.6 บาท/หุ้น ประเมินเป้าหมาย SET INDEX ปี 2566 โดยอิง MEYG ที่ระดับ 3.5% จะได้ดัชนีเป้าหมายปี 2566 ที่ 1541 จุด”
แต่ถ้าอิง MEYG 3.3% (มูลค่าซื้อขายกลับมาสูงกว่า 6 หมื่นล้านบาท/วัน) จะได้ดัชนีเป้าหมายปี 2566 ที่ 1595 จุด ในส่วนของ Fund Flow มีโอกาสกลับมาไหลเข้าในช่วงที่เหลือของปี หลังตลาดหุ้นไทยผ่านการปรับฐานลงมาพอสมควร และผ่านช่วงสุญญากาศทางการเมืองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมคาดหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วง 2H66
ขณะที่กลุ่มหุ้นที่มีโอกาส Outperform ได้ คือ กลุ่มหุ้นที่มีกำไรเติบโตเด่นในช่วง 2H66 คือ PETRO, MEDIA, STEEL, FOOD, INSUR, TRANS, PKG, PROP, และ COMM เป็นต้น
กลยุทธ์การลงทุนในเดือน ก.ย. เลือกหุ้นที่ได้ SENTIMENT บวกในช่วงเปลี่ยนผ่านทางการเมือง และแนวโน้มกำไรฟื้นตัวต่อเนื่อง อย่าง JMART, BJC, CK, BEM, BBL, AMATA,TOP
หลังได้รัฐบาลชุดใหม่ ภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย โดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 บรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นไทยกลับเข้าสู่ความคึกคักอีกครั้ง ท่ามกลางความคาดหวังเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศจะกลับมา หลังการเมืองไทยกลับมามีเสถียรภาพอีกครั้ง และการท่องเที่ยวที่เริ่มฟื้นตัว
สัปดาห์นี้ Mr.Data พามาสำรวจมุมมองของ 2 โบรกเกอร์จาก บล.กสิกรไทย และบล.เอเซีย พลัส เขามีมุมมองอย่างไร กับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในเดือนกันยายน 2566 พร้อมกับกลยุทธ์การลงทุน มาเล่าสู่กันฟัง
เริ่มจาก บล.กสิกรไทย แนะนำกลยุทธ์ลงทุนในเดือนกันยายน ภายใต้หัวข้อ “เข้าสู่ยุคใหม่” โดยประเมินว่า ตลาดหุ้นไทยจะเคลื่อนไหวออกด้านข้างหนุนจากกระแสเงินไหลเข้า แนวโน้มกำไรสุทธิที่เติบโตมากขึ้น เสถียรภาพทางการเมืองและการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวขึ้น
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยจะตามทันคู่แข่งจากการเปลี่ยนแปลงของสภาวะเศรษฐกิจมหภาคและปัจจัยแวดล้อมทางบวก
บล.กสิกรไทย คาดว่าตลาดหุ้นไทย ซึ่งปรับลดลง 6% YTD และเคลื่อนไหวช้ากว่าตลาดหุ้นทั่วโลก (MSCIACWI เพิ่มขึ้น 13% YTD) จะฟื้นตัวขึ้นในเดือนก.ย. ด้วยปัจจัยหนุนจาก 1) วัฎจักรการขั้นอัตราดอกเบี้ยที่สิ้นสุดลงจากอัตราเงินเฟ้อ และการเติบโตที่ชะลอตัวลง
“เราคาดว่ากระแสเงินทุนจะกลับเข้ามายังตลาดเกิดใหม่จากแนวโน้มสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนตัวลงและการฟื้นตัวที่น้อยลงของสภาวะเศรษฐกิจจีน”
2) แนวโน้มกำไรสุทธิที่เติบโตมากขึ้น (+17% YoY มาอยู่ที่ 1 ล้านลบ. ในปี 2567) และมูลค่าหุ้นที่ถูกลง 3) เสถียรภาพทางการเมืองหลังสิ้นสุดความขัดแย้งทางการเมืองที่มีมายาวนานกว่า 2 ทศวรรษระหว่างกลุ่มเสื้อเหลืองและเสื้อแดงซึ่งคาดจะช่วยหนุน FDI, กระแสเงินและการปรับเพิ่มตัวคูณมูลค่าหุ้น และ 4) การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวขึ้นหนุนจากโครงการยกเว้นวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวจากจีนและอินเดีย
โดยบล.กสิกรไทย ยังคงเป้า SET Index ของเราตามเดิมที่ 1,666 จุด คำนวณด้วยประมาณการ EPS ปี 2567 ที่ 107 บาท และ PE ล่วงหน้า 12 เดือนที่ 15.60 (+0.5SD)
“เราแนะนำให้นักลงทุนเพิ่มการลงทุนในตลาดหุ้นไทยจาก upside ต่อกำไรสุทธิจากปัจจัยหนุนข้างต้น เราแนะนำให้นักลงทุนเลือกสะสมหุ้นที่คาดจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์หลักจากนโยบายกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนจากรัฐบาลใหม่”
ส่วนธีมลงทุนในเดือนก.ย. แนะนำ 4 ธีมลงทุนหลัก
1.ผู้เล่นที่ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล (TIDLOR, CPALL, MEGA, AP, BBIK ADVANC) เราเลือกบริษัทที่คาดจะเป็นผู้ที่ได้ประโยชน์หลักจากนโยบายดิจิทัลวอลเลต 10,000 บาท, อัดฉีดรายได้, ลดค่าครองชีพและกระตุ้นตลาดที่อยู่อาศัยของพรรคเพื่อไทย
2.ผู้เล่นกลุ่มพลังงาน (TOP) เราคาดว่ากลุ่มโรงกลั่นจะได้ประโยชน์มากที่สุดจาก GRM และราคาน้ำมันที่สูงขึ้น
3.ผู้เล่นกลุ่มท่องเที่ยว (AOT, BA, BTS และ CPN) จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่คาดจะเพิ่มขึ้นในครึ่งหลังปีนี้หนุนจากแคมเปญฟรีวีซ่า
4.ผู้เล่นกลุ่มย้ายฐานการผลิตในภูมิภาค (AMATA และ SJWD) เราคาดว่ากลุ่มนิคมอุตสาหกรรม และโลจิสติกส์จะได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตระดับโลก
ขณะที่ บล.เอเซีย พลัส วิเคราะห์กลยุทธ์ลงทุนเดือน ก.ย. 2566 จะเป็นช่วงเยียวยา SET Index โดยปัจจัยมีทั้งดีและร้ายแต่ด้วยปัจจัยการเมืองเริ่มผ่อนคลาย ปริมาณการซื้อขายที่สูงกว่าช่วงก่อนหน้าช่วยหนุน SET มี Momentum ปรับขึ้นต่อได้
โดยรายละเอียดปัจจัยภายนอก และปัจจัยภายใน มีดังนี้
ปัจจัยภายนอก
1). วัฎจักรดอกเบี้ยขาขึ้นใกล้จบ หลังจาก Fed ขึ้นดอกเบี้ยมาแล้วใน 1 ปี 7 เดือน จาก 0.25% มาเป็น 5.5% ซึ่งสูงกว่าเงินเฟ้อปัจจุบันที่ลดลงเหลือ 3.3% พอสมควร ส่งผลให้ตลาดคาด Fed น่าจะคงดอกเบี้ยไปจนถึงต้นปี 2567 ก่อนทยอยปรับลง
2). รัฐบาลจีนเตรียมออกมาตการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม หลังเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวช้า และภาคอสังหาฯ มีหนี้สูง พร้อมผิดนัดชำระ ซึ่งประเทศไทยมีความสัมพันธ์ทางตรงกับจีนทั้งทางตร (เศรษฐกิจ) และทางอ้อม(ตลาดหุ้น)
ปัจจัยภายในประเทศ
1.) การเมืองมีพัฒนาการเชิงบวกมากเรื่อยๆ หลังผ่านระยะเวลาการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลใหม่มาเกินกว่า 3 เดือนครึ่ง และน่าจะเห็นการเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลใหม่ในช่วงที่เหลือของปี ทั้งการลดราคาพลังงาน, ฟรีค่าธรรมเนียม VISA สำหรับนักท่องเที่ยว และความคาดหวังการแจกเงิน Digital 10,000 บาท ในระยะถัดไป 2.) มูลค่าซื้อขายหุ้นไทยเริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังการเมืองคลี่คลาย โดยช่วงเดือน มิ.ย. – ก.ค. 66 อยู่ที่ 4 หมื่นล้านบาท/วัน สู่ระดับ 6 หมื่นล้านบาท/วัน ในช่วงหลังโหวตนายกฯ 3.) มีการปรับประมาณการลงทั้งในส่วน GDP Growth และ EPS66F หลังไตรมาส 2 ตัวเลขออกมาต่ำคาด
“ในมุมผลประกอบการ ฝ่ายวิจัยฯ ปรับลดประมาณการกำไรปี 2566 ลงจาก 1.12 แสนล้านบาท เหลือ 1.09 แสนล้านบาท คิดเป็น EPS66F จาก 91.8 บาท/หุ้น เหลือ 88.6 บาท/หุ้น ประเมินเป้าหมาย SET INDEX ปี 2566 โดยอิง MEYG ที่ระดับ 3.5% จะได้ดัชนีเป้าหมายปี 2566 ที่ 1541 จุด”
แต่ถ้าอิง MEYG 3.3% (มูลค่าซื้อขายกลับมาสูงกว่า 6 หมื่นล้านบาท/วัน) จะได้ดัชนีเป้าหมายปี 2566 ที่ 1595 จุด ในส่วนของ Fund Flow มีโอกาสกลับมาไหลเข้าในช่วงที่เหลือของปี หลังตลาดหุ้นไทยผ่านการปรับฐานลงมาพอสมควร และผ่านช่วงสุญญากาศทางการเมืองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมคาดหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วง 2H66
ขณะที่กลุ่มหุ้นที่มีโอกาส Outperform ได้ คือ กลุ่มหุ้นที่มีกำไรเติบโตเด่นในช่วง 2H66 คือ PETRO, MEDIA, STEEL, FOOD, INSUR, TRANS, PKG, PROP, และ COMM เป็นต้น
กลยุทธ์การลงทุนในเดือน ก.ย. เลือกหุ้นที่ได้ SENTIMENT บวกในช่วงเปลี่ยนผ่านทางการเมือง และแนวโน้มกำไรฟื้นตัวต่อเนื่อง อย่าง JMART, BJC, CK, BEM, BBL, AMATA,TOP