จับประเด็นหุ้นเด่น

รายงานพิเศษ : ธุรกิจร้านขายยาเข้าสู่ยุค Chain-drugstores หนุนโอกาสเติบโตของ HL


12 กันยายน 2566
ปัจจุบันธุรกิจร้านขายยาเข้าสู่ยุคใหม่ “Chain-drugstores” ที่ประสิทธิภาพมากขึ้น  ต้นทุนลดลง  สอดคล้องทิศทางทำธุรกิจบริษัท เฮลท์ลีด  หรือ HL ตั้งเป้าสิ้นปี 66 สาขาแตะ 50 แห่ง  จากปีก่อนที่มี  36 สาขา  หนุนรายได้ปีนี้เติบโตมากกว่า 20%

รายงานพิเศษ ธุรกิจร้านขายยาเข้าสู่ยุค Chain-dru.jpg

บริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ(ประเทศไทย)  วิเคราะห์บริษัท เฮลท์ลีด จำกัด (มหาชน) หรือ HL ระบุ สิ้นสุดยุคร้านยาหมอตี๋! เริ่มยุคใหม่ของ Chain-drugstores 

พร้อมเปิดเกมรุก บุกแย่งส่วนแบ่งตลาดร้านขายยา ประเมินร้านขายยารูปแบบ Chain-drugstore จะกินส่วนแบ่งตลาดร้านขายยาประเภท Standalone (ธุรกิจ SME) มากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากความได้เปรียบเรื่องของฐานเงินทุน เช่น การขยายสาขาจำนวนมากในพื้นที่ชุมชนต่างๆจะทำให้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น และเพิ่มอำนาจต่อรองกับผู้ผลิตยา รวมทั้งผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ทางการแพทย์ นอกจากนี้การที่จำนวนสาขาในรูปแบบ Chain-drugstore เพิ่มขึ้นจะทำให้ต้นทุน Logistic (การขนส่งและการจัดเก็บ) มีประสิทธิภาพมากขึ้นและทำให้ต้นทุนลดลง

นอกจากนี้จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่จะทำให้ร้านขายยาแบบ Standalone แข่งขันได้ยากขึ้น คือการประกาศใช้หลักวิธีปฏิบัติทางเภสัชกรชุมชน (Good Pharmacy Practice: GPP) ซึ่งเป็นกฎหมายภายใต้กฎกระทรวงฯ ตั้งแต่ มิ.ย.2557 (เริ่มใช้เป็น Phase ที่ 1 ยังมีการผ่อนผันให้ปรับตัวได้) และเริ่มบังคับใช้แบบเข้มงวดตั้งแต่ มิ.ย.2565 ซึ่งกฎระเบียบ GPP นี่เองจะเป็นอุปสรรคที่สำคัญต่อร้านขายยา Standalone เป็นอย่างมาก  

อาทิเช่น การกำหนดขนาดพื้นที่ร้านขายยา การกำหนดขนาดพื้นที่ให้บริการโดยเภสัชกร การกำหนดให้ร้านขายยาต้องมีเภสัชกรที่มีใบประกอบวิชาชีพตลอดเวลา การกำหนดให้เข้าสู่ระบบภาษีสรรพากร เป็นต้น  ดังนั้น เราประเมินการขยายสาขาเชิงรุกของร้านขายยา Chain-drugstore ของ HL ภายใต้ชื่อแบรนด์ iCare และ Pharmax จะ Aggressive มากขึ้นในช่วง 1–3 ปี ข้างหน้า  ขณะที่ร้านขายยา  Standalone จะลดจำนวนลง โดยเรากำหนดสมมติฐานการเปิดสาขาใหม่ปีละ 15 แห่ง ตั้งแต่ปี 2566 – 2569 หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ27% CAGR (2565 -69)

ผ่านจุดเลวร้ายเริ่มกลยุทธ์ใหม่เดินหน้าฟื้นตั้งแต่2Q66

ราคาหุ้น HL ปรับลดลงกว่า -45% YTD จากการรายงานผลการดำเนินงานที่อ่อนแอใน 1Q66 โดยกำไรลดลง -58% YoY, -62% QoQ จาก 2 ปัจจัยลบ  ได้แก่ 

i)    การลดลงของยอดขายสินค้าอุปกรณ์การแพทย์ โดยเฉพาะสินค้าที่เกี่ยวข้องกับ Covid-19

ii)    การใช้กลยุทธ์ด้านราคาที่ผิดพลาด โดยทางผู้ผลิตยาได้ทำการปรับขึ้นราคายา ตั้งแต่ต้น ปี2566 แต่ทาง HL กลับเลือกใช้กลยุทธ์ด้านราคา ตรึงราคาขายปลีกหน้าร้านไว้ เพื่อหวังแย่งชิงส่วนแบ่งตลาด แต่กลับให้ผลสุทธิที่เป็นลบ อัตรากำไรขั้นต้นลดลงเหลือ 21.5% จาก 23.9% ใน 1Q65 

อย่างไรก็ดีจากการ Company visit ล่าสุด HL ไม่ได้ใช้กลยุทธ์ด้านราคาแล้วตั้งแต่ มี.ค.66 ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวของอัตรากำไร เราคาดกำไร2Q66 จะฟื้นตัวเป็น 21 ล้านบาท (+67% QoQ แต่ยังลดลง -7% YoY)

ส่วนพื้นที่ให้บริการโดยเภสัชกร ซึ่งเป็นพื้นที่ให้บริการขายยาในร้านขายยาของ HL  คิดเป็นพื้นที่เพียงราว 20 – 30% ของร้าน แต่สร้างรายได้ราว +/-70% ของรายได้รวม ขณะที่พื้นที่อีก 70 – 80% ใช้เป็นพื้นที่วางขายสินค้าอุปกรณ์การแพทย์ และสินค้าเพื่อสุขภาพอื่นๆ แต่สร้างรายได้เพียงราว +/-30% ของรายได้รวม ซึ่งเราประเมินว่า มีโอกาสที่ทาง HL จะปรับแผนทางการตลาดเพื่อหาทางสร้างรายได้จากพื้นที่ส่วนนี้เพิ่ม โดยผู้บริหารเผยทางเจ้าของผลิตภัณฑ์พร้อมที่จะสนับสนุนงบส่งเสริมการขายในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งจะทำให้ยอดขายโดยรวมของ HL เพิ่มขึ้น โดยที่ไม่กระทบต่อรายจ่าย SG&A ซึ่งหากทำได้ตามเป้าหมาย จะเป็น Upside ต่อประมาณการฯ

ดังนั้นจึงประเมินราคาเหมาะสมหุ้น HL ได้เท่ากับ 18.0 บาท อิงวิธี DCF โดยกำหนดสมมติฐาน WACC 8.8% terminal growth 3% ณ ราคาเหมาะสมที่เราประเมินได้ Forward PE (อิง EPS ปี 2567) จะคิดเป็นราว 40 เท่า (เท่ากับ -1.7 เท่าของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานในอดีต)

ทั้งนี้ 1Q66 HL มีเงินสดในมือ 100 ล้านบาท และเงินลงทุนระยะสั้นในกองทุนรวมและหุ้นกู้ราว 550 ล้านบาท ทำให้เราประเมินมี Upside ที่ HL จะนำ เงินสดดังกล่าวไปใช้ลงทุนขยายกิจการเพิ่มเติม ทั้งในรูปแบบ Organic (ขยายสาขา) + Inorganic (ซื้อกิจการต่อยอดธุรกิจ)

ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางการทำธุรกิจของบริษัท  โดย “ภก.ธัชพล ชลวัฒนสกุล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มั่นใจผลดำเนินงานของบริษัทได้ก้าวผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วตั้งแต่ไตรมาส 1  และเชื่อว่าหลังจากนี้Gross Marginจะขยับตัวขึ้น สะท้อนจากไตรมาส 2 ที่มี Gross Margin เพิ่มมาอยู่ที่ 22.8%เติบโต 9.4%เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสก่อนที่มีอยู่ที่ 21.5%ขณะที่การขยายสาขาที่ผ่านมาจะเริ่มรับรู้รายได้เข้ามาเพิ่มขึ้น 

ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีแรกกลุ่มบริษัทได้เปิดสาขาร้านขายยาทั้งสิ้น 6 สาขา โดยแผนธุรกิจในครึ่งปีหลังบริษัทฯจะเน้นเพิ่มสินค้าเกี่ยวกับอุปกรณ์ทางการแพทย์เพิ่มขึ้น และตั้งเป้าขยายสาขาเพิ่มอีก 8 สาขา ส่งผลให้ทั้งปีนี้บริษัทฯ จะมีสาขารวม 50 สาขาตามเป้าหมาย จากปีก่อนที่มีสาขา 36 สาขา ซึ่งการขยายสาขาจะมุ่งเน้นในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

นอกจากนี้ ในช่วงไตรมาส 4/66 บริษัทฯเตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่เพิ่มขึ้นอีก 1-2 ผลิตภัณฑ์ โดยมั่นใจว่ารายได้ในปีนี้จะเติบโตมากกว่า 20% ตามเป้าหมายที่วางไว้
HL