by. พูเมซ่า
ภาพรวมตลาดหุ้นไทยภายใต้รัฐบาลที่นำโดย "เศรษฐา ทวีสิน"นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ดัชนีตลาดหุ้นยังคงผันผวนต่อเนื่อง โดยบล.เอเซียพลัส ระบุฝ่ายวิจัยฯทำการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของ SET Index ตั้งแต่วันที่ได้นายกฯ คนใหม่ 22 ก.ค. 66 ถึงปัจจุบัน 11 ก.ย. 66 พบว่า SET Index เคยขึ้นไปถึง 3.3% แต่ปัจจุบันย่อตัวลงมาเหลือผลตอบแทน 1% จากแรงขายทำกำไรของนักลงทุนต่างชาติ อย่างไรก็ตามจากการเริ่มต้นเดินเครื่องทางเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ ในระยะกลางถึงยาวน่าจะคาดว่าการผลักดันให้ตัวเลขเศรษฐกิจ และกำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโตมากขึ้นได้ รวมถึง Fund Flow ต่างชาติอาจจะไหลกลับสนับสนุนอีกครั้งและหากวิเคราะห์ผลตอบแทนสะสมออกเป็นราย Sector พอจะแบ่งแยกกลุ่มหุ้นที่ Outpeform และ Underperform SET Index ที่ +1% ได้ดังนี้
- กลุ่มหุ้นที่อิงกับความคาดหวังเศรษฐกิจจีนฟื้น หลังรัฐบาลกลับมาเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ Outperform ตลาดมาก อาทิ AGRI +9.6%,
STEEL+7.3%, PKG+6.8%, AUTO +5.0%, FIN +4.7%, CONS +4.6%, ETRON +3.4%
- กลุ่มหุ้นอิงกระแสนโยบายภาครัฐ Outperform ตลาดรองลงมา อาทิ TOURISM +3.3%, FOOD +2.9%, COMM +2.8%, PROP +2.6%, MEDIA 2.6%, TRANS 1.3%
- กลุ่มที่ Underperform ตลาดมากเกินไป สวนทางราคาน้ำมันโลกที่ขยับขึ้น อาทิ ENERG -2.2%, PETRO -5.4%
สรุป พอแจกแจงผลตอบแทนสะสมออกมาเป็นราย Sector จะเห็นภาพชัดว่า SET Index ที่ย่อตัวลงมาหลักๆ เกิดจากการย่อตัวแรงของหุ้นกลุ่มปิโตรฯ และพลังงาน และเริ่มเห็นสัญญาณ RSI Oversold น่าจะเห็นการรีบาวน์กลับช่วงสั้นๆ ได้ ขณะที่หุ้นกลุ่มอิงกับเศรษฐกิจจีน และกลุ่มที่ได้กระแสนโยบายภาครัฐ น่าจะยังเป็นผู้นำในการพยุงตลาด ทำให้คาดหวังว่า SET Index ยังมี Upside มากกว่า Downside จากปัจจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้น
ทั้งนี้ จากการรวบรวมข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในส่วนการลงทุนของนักลงทุนรายใหญ่ที่เป็นที่รู้จักกันดีในวงการตลาดหุ้นไทยมาอย่างยาวนาน ในนามของ"เสี่ยปู่" หรือ สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล ซึ่งปัจจุบันมีการถือครองหุ้น จำนวน 14 บริษัท และจะเน้นที่หุ้นขนาดเล็กและกลางมากกว่าขนาดใหญ่ ประกอบด้วย
หุ้น |
จำนวน(หุ้น) |
%การถือครอง |
AJ |
20,404,000 |
4.64 |
BRI |
8,607,700 |
1.01 |
BRI (ถือผ่านบล.ดาโด) |
3,864,717 |
0.45 |
BROCK |
137,796,900 |
13.44 |
BVG |
18,655,400 |
4.15 |
DITTO |
18,536,000 |
3.51 |
ICN |
38,936,000 |
6.3 |
KCC |
13,102,000 |
2.11 |
KCC(ถือผ่านบล.ดาโด) |
5,342,700 |
0.86 |
MFEC |
3,464,700 |
0.78 |
ORI |
98,027,100 |
3.99 |
PCC |
23,037,500 |
1.88 |
PEACE |
14,110,000 |
2.8 |
PLUS |
45,393,200 |
6.78 |
PRI |
7,261,600 |
2.27 |
PRI(ถือผ่านบล.ดาโด) |
4,364,200 |
1.36 |
RSP |
9,455,000 |
1.27 |
TEAMG |
15,760,000 |
2.32 |
|
|
|
จากข้อมูลข้างจะพบว่า หุ้นในพอร์ตลงทุนของ"เสี่ยปู่" ล่าสุด ณ เดือนสิงหาคม 2566 มีการปิดสมุดทะเบียนรายชื่อผู้ถือหุ้น และได้มีการนำสัดส่วนการถือครองไปเปรียบเทียบกับการปิดสมุดทะเบียนรายชื่อผู้ถือหุ้นในครั้งก่อนพบว่า "เสี่ยปู่"ได้เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้น 3 บริษัท และลดการถือครอง 1 บริษัท ดังนี้
หุ้น |
จำนวนล่าสุด |
จำนวนก่อนหน้า |
การเปลี่ยนแปลง |
BRI |
12,472,417 |
11,354,717 |
1,117,700 |
BVG |
18,655,400 |
12,990,000 |
5,665,400 |
ORI |
98,027,100 |
94,720,000 |
3,307,100 |
PRI |
11,625,800 |
11,800,800 |
-175,000 |
หน่วย: หุ้น |
|
|
|
|
|
|
|
รวมทั้งข้อมูลดังกล่าวยังสะท้อนให้เห็นว่า “เสี่ยปู่”ได้เข้าซื้อหุ้น BVG เพิ่มขึ้นมากสุดถึง 5,665,400 หุ้น ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 4.15% จากก่อนหน้านี้ถือหุ้น 12,990,000 หุ้นคิดเป็น 2.89% และยังคงรักษาตำแหน่งการเป็นผู้ถือหุ้นใหญอันดับ 2 ไว้อย่างเหนียวแน่น
สำหรับบริษัท บลูเวนเจอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือBVG กลุ่มบริษัทประกอบธุรกิจ 4 ธุรกิจ ได้แก่ 1) ธุรกิจให้บริการระบบแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชัน สำหรับบริหารจัดการธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับประกันภัยรถยนต์ ("ระบบ EMCS") 2) ธุรกิจให้บริการบริหารจัดการสิทธิประโยชน์ ด้านการรักษาพยาบาลและสินไหมทดแทน รวมถึงการให้คำปรึกษาแนะนำที่เกี่ยวข้อง ผ่านแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชัน ("บริการ TPA")3) ธุรกิจการให้คำปรึกษาด้านคณิตศาสตร์ประกันภัย 4) ธุรกิจการให้บริการนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
บล.ทรีนีตี้ แนะนำให้ถือหุ้นBVG ให้ราคาเป้าหมายใหม่ 5.8 บาทโดย กำไร 2Q66 อ่อนตัวหลังค่าใช้จ่ายปรับตัวเพิ่มขึ้น
BVG ประกาศกำไร 2Q66 ที่ 14 ล้านบาท อ่อนตัว 20%QoQ และ 10%YoY โดยรายได้อ่อนตัวลงเล็กน้อย 2%QoQ แต่ยังเติบโตได้ดีราว 18%YoY หลังระบบ EMCS มีรายได้จากการให้บริการ claim settlement, claim notification รวมถึงระบบ AI ขณะที่บริการ TPA มีปริมาณการให้บริการเพิ่มขึ้นจากลูกค้าในกลุ่ม Self-insured อย่างไรก็ตามต้นทุนบริการปรับตัวเพิ่มขึ้น 5%QoQ และ 27%YoY ซึ่งมากกว่ารายได้ เนื่องจากมีการปรับเงินเดือนพนักงานและต้นทุนการให้บริการ AI สูงขึ้น บวกกับค่าใช้จ่ายในการบริหารปรับตัวเพิ่มขึ้น 6%QoQ และ 26% YoY ซึ่งมากกว่ารายได้เช่นกัน เนื่องจากมีการบันทึกค่าใช้จ่ายจากการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารระดับสูงราว 5-6 ล้านบาท
ทั้งปีอาจโตน้อยกว่าคาด จึงปรับประมาณการกำไรปี 66-67 ลง เราปรับประมาณการกำไรปี 2566-2567 ลงราว 10% และ 16% จากประมาณการก่อนหน้ามาอยู่ที่ 71 ล้านบาท (+28%YoY) และ 90 ล้านบาท (+28%YoY) แม้ว่าจะเห็นแนวโน้มการเติบโตของรายได้จากระบบ EMCS และบริการ TPA แต่อาจไม่สูงเท่าที่คาดไว้ก่อนหน้า บวกกับต้นทุนการให้บริการ และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่สูงกว่าที่คาด ทั้งนี้เรายังไม่รวมประมาณการในส่วนของ Cambodia Bluventure (JV) ซึ่งบริษัทถือหุ้น 49% คาดว่าจะเริ่มดำเนินงานใน 2H66 ซึ่งหากมีรายละเอียดเกี่ยวกับเป้าหมายทางการเงินของ JV ดังกล่าว เราอาจมีการปรับประมาณการอกีครั้งหนึ่ง
นอกจากนี้ได้ปรับลดราคาเป้าหมายสะท้อนประมาณการใหม่ จากการปรับประมาณการ ทำให้เราสามารถคำนวณราคาเป้าหมายปี 2566 ใหม่ได้ที่ 4.6 บาท อิง PEG 1 เท่า อย่างไรก็ตามเราได้ Roll-over ไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 5.8 บาท อิง PEG 1 เท่า (อิง 3-year avg. growth ที่ 28% ตามการปรับลดประมาณการกำไร) ด้วยราคาหุ้นปัจจุบันมี Upside ค่อนข้างจำกัด จึงแนะนำเพียง “ถือ”