เจ๊จิ๋ม..สายเถื่อน 15-09-23
15-09-23 สวัสดีพี่น้องชาวไทย "เจ๊จิ๋ม" มารายงานตัว ณ ที่เก่าเวลาเดิม www.share2trade.com เปิดอ่านได้เลยเวลา 7.30 น.มีเรื่องเด็ดๆ โดนๆ มาเม้าท์กันให้สนั่นวงการลงทุนของพวกเรากันเถอะ
***จากมติที่ประชุม ครม. ที่ออกมา มีความคิดเห็นที่หลากหลายจากเซียนหุ้นค่ายต่างๆ เจ๊จิ๋มหยิบมาให้ดูกันว่าคิดเห็นอย่างไรกันมั่ง เริ่มจาก KCS บอกว่ามอง “บวกเล็กน้อย” ต่อการออกมาตรการลดค่าครองชีพประชาชน โดยเฉพาะประเด็นลดค่าไฟทันที -30 สต./หน่วย หรือคิดเป็น -8% ในขณะที่การลดราคาน้ำมันดีเซลถือเป็นกรอบ ใกล้เคียงกับตลาดคาดก่อนหน้า ทั้งนี้คาดผลประโยชน์หลักๆจากค่าไฟลง จะเกิดตั้งแต่ 4Q23F และจะรับรู้เต็มปีในปี 24F หลังต้นทุนแก๊สเป็นช่วงขาลง เมื่อเทียบกับต้นปี โดยหากปรับสมมติฐานอัตราค่าไฟต่อหน่วยสำหรับปี 2024F เท่ากับมติ ครม.ล่าสุด (4.10 บ./หน่วย) ส่งผลประมาณการกำไรปี 2024F รวมของกลุ่มค้าปลีกมีโอกาสเกิด upside ราว +5% นำโดย CPAXT (+7%) , CPALL (+6%) และ BJC (+5%)
***คงมุมมองบวกใน ระยะกลางถึงยาวต่อแผนกระตุ้นกำลังซื้อของภาครัฐเพิ่มเติม ทั้งนี้ แม้ระยะสั้น โดยประเมินว่า i) การที่รัฐมีแผนการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บ/วัน (+ 18-20%) จากปัจจุบันที่เฉลี่ย 337 บ/วัน จะมีผลค่าใช้จ่ายดำเนินงานกลุ่มนี้สูงขึ้น หรือกระทบกำไรปี 2024F ราว -5% (กระทบมากสุด คือ CPALL -8% ตามด้วย CPAXT -6%) อย่างไรก็ตาม เราคาดจะชดเชยด้วยกำลังซื้อที่มาก ขึ้นและการผลักภาระบางส่วนของผู้ผลิตไปยังผู้บริโภค หนุนทิศทาง SSSG ใน ระยะถัดไปจะสูงขึ้น
***ผสนกับ ii) ต้นปีหน้า รัฐมีแผนออกมาตรการกระตุ้น กำลังซื้อผ่าน ดิจิตอล วอลเล็ต แก่ประชาชนทั่วไปอีกคนละ 1 หมื่นต่อราย (กำหนดระยะเวลาใช้ภายใน 6 เดือน) คิดเป็นมูลค่ารวมสูงถึง 5.6 แสนลบ. หรือเทียบเท่า +15%ของมูลค่าตลาดค้าปลีกไทย จึงมองว่าประมาณการกำไรปี 2024F กลุ่มมีโอกาสเกิด upside จากปัจจุบันคงน้ำหนัก Bullish โดยปรับมาเลือกหุ้นเด่นเป็น CPALL (TP76) และ DOHOME (TP12.80) ตาม i) แนวโน้มกำไร 2H23F ที่จะโต y-y เด่นสุดในกลุ่มและ ii) เป็นผู้ประกอบการที่จะได้ประโยชน์สูงจากการออกนโยบายกระตุ้นของภาครัฐและราคาสินค้าเกษตรหลักอย่างข้าวในตลาดโลกขาขึ้น
***KCS ยังคงมุมมองราคาหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าอย่าง GPSC และ BGRIM ที่มีแรงกดดันจากการลดค่า ft ก.ย. - ธ.ค. 23 เพิ่มเติม เบื้องต้นคาดกระทบกำไรของ GPSC ใน 2023F ราว -700 ลบ. หรือ -14% คิดเป็น 0.25 บาท/หุ้น และ BGRIM -245 ลบ. หรือราว -10% คิดเป็น 0.09 บาท/หุ้น ในขณะที่ 2024-25F อาจมี upside รวมถึงความผันผวนของราคาก๊าซฯ ในระยะสั้นจะเป็นโอกาสซื้อ มองราคาหุ้น GPSC และ BGRIM ที่ลดลงราว -10% และ -11% ตามลำดับ นับแต่รัฐบาลประกาศแนวทางนโยบายลดค่าไฟฟ้าเพิ่ม (30 ส.ค. 23 ถึงช่วงเช้า 13 ก.ย. 23) น่าจะสะท้อนผลกระทบของค่า ft ที่อาจปรับลงอีก 35 สตางค์/หน่วย ไปมากคงมุมมองการลดราคาน้ำมันดีเซลผ่านการลดภาษีสรรพสามิต ช่วยลด sentiment ลบต่อ OR และ PTG โดยการลดในขั้นแรกทำผ่านภาษีสรรพสามิตจะไม่ได้กระทบต่อค่าการตลาดของเอกชนอย่าง OR และ PTG
***ทางด้าน DAOL มีมุมมองเป็นลบต่อหุ้นค้าปลีกน้ามันแต่ผ่อนคลายมากขึ้นต่อหุ้นโรงไฟฟ้า โดยมองว่าการตรึงราคาน้ำมันดีเซลโดยการลดภาษีและการใช้ กองทุนน้ำมันอาจจะส่งผลให้บริษัทค้าปลีกน้ำมันมีผลขาดทุนสต๊อกได้ ในขณะเดียวกันการควบคุมค่าการตลาดเบนซินที่เป็นไปได้ก็อาจจะส่งผลต่ออัตรากำไรโดยรวม โดยทั้งสองปัจจัยนี้อาจส่งให้ค่าการตลาดโดยรวม (และกำไร ขั้นต้น) ลดลงได้ อย่างไรก็ดีเชื่อว่าผลกระทบเชิงลบ นี้จะถูดชดเชยด้วยปริมาณยอดขายน้ำมันที่จะสูงขึ้นตามปัจจัยฤดูกาลใน 4Q23E
***ในขณะเดียวกันมีมุมมองที่ผ่อนคลายมากขึ้นต่อกลุ่มโรงไฟฟ้า แม้ว่าจะมีการปรับลดค่าไฟฟ้าลงมาที่ 4.10 บาท/หน่วย มากกว่าที่เคยมีข่าว ออกมาที่ 4.25 บาท/หน่วย จากค่าไฟปัจจุบันที่ 4.45 บาท/หน่วย แต่แนวทางที่รัฐพยายามดำเนินการคือการปรับลดในส่วนของต้นทุนค่าก๊าซลงมาด้วย ซึ่งจะทำให้ผลกระทบต่อโรงไฟฟ้า SPP มีน้อยกว่าที่ตลาดประเมินต้องแบกรับการลดค่าไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ทั้งนี้ยังคงน้ำหนักการลงทุน “เท่ากับตลาด” สำหรับกลุ่มพลังงานและ “น้อยกว่าตลาด” สำหรับกลุ่มโรงไฟฟ้า ยังชอบหุ้นกลุ่ม พลังงานต้นน้ำและโรงกลั่นซึ่งได้ประโยชน์จากแนวโน้มราคาน้ำมันขาขึ้นใน 2H23E และเชื่อว่าจะได้รับผลกระทบที่จำกัดจากนโยบายพลังงานใหม่ โดยหุ้นที่ชอบคือ PTTEP (ซื้อ/เป้า 180.00 บาท), SPRC (ซื้อ/เป้า 11.00 บาท) และ TOP (ซื้อ/เป้า 64.00 บาท)
***ASPS นโยบายส่วนใหญ่เน้นไปที่การช่วยเหลือภาคประชาชน ลดค่าครองชีพเป็นหลัก ทั้งการลดค่าไฟฟ้าและน้ำมันดิบ ซึ่งมองผิวเผินจะส่งผลลบต่อหุ้นกลุ่มโรงกลั่น-โรงไฟฟ้า อย่างไนก็ตาม ฝ่ายวิจัยฯจะมาจำแนกให้ดูว่า ทั้ง 2 กลุ่มโดนผลกระทบจริงๆ หรือไม่ เริ่มจากการปรับลดราคาน้ำมันดีเซล เป็นการปรับลดผ่านการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต ซึ่งปัจจุบันภาครัฐจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 5.99 บาท/ ลิตร ดังนั้น ภาครัฐยังสามารถใช้ภาษีสรรพสามิตเป็นกลไกในการช่วยให้ราคาน้ำมันดีเซลปรับลดลงเหลือไม่เกิน 30 บาท/ลิตรได้ โดยไม่กระทบต่อกลุ่มโรงกลั่น หรือ ผู้ประกอบการค้าปลีกน้ำมันแต่อย่างใด จะกระทบเพียงภาครัฐที่รายได้จากการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจะลดลงเท่านั้น ดังนั้น แนะนำทยอยสะสมหุ้นในกลุ่มโรงกลั่น เมื่อราคาอ่อนตัวลงมาหรือเข้าใกล้แนวรับสำคัญทางเทคนิค ชอบ PTT PTTEP TOP SPRC
***ส่วนต่อมา คือ การลดค่าไฟฟ้าซึ่งยังต้องรอสรุปอย่างเป็นทางการว่าแนวทางการปรับลดค่าไฟครั้งนี้จะใช้วิธีการใด ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีรายละเอียดเนื้อข่าวที่แน่ชัด ฝ่ายวิจัยฯจึงจำแนกออกเป็น 2 วิธีที่สามารถเกิดขึ้นได้ 1. หากรัฐบาลสามารถใช้วิธีการยืดการชำระหนี้ให้แก่ กฟผ. ออกไป อาจส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ที่มีสัดส่วนขายไฟฟ้าให้แก่กลุ่ม ลูกค้าอุตสาหกรรมค่อนข้างสูงอย่าง GPSC (สัดส่วนรายได้จากการขาย ไฟฟ้าให้ลูกค้าอุตสาหกรรมราว 30% ของรายได้รวม) , BGRIM (สัดส่วน รายได้จากการขายไฟฟ้าให้ลูกค้าอุตสาหกรรมราว 27% ของรายได้รวม), GULF (สัดส่วนรายได้จากการขายไฟฟ้าให้ลูกค้าอุตสาหกรรมราว 13% ของรายได้รวม) 2. หากใช้วิธีการช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หรือ 500 หน่วย/เดือน จะไม่มีผลกระทบต่ออัตรากำไรของผู้ประกอบการกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP แต่อย่างใด
***ปิดท้ายวันนี้มีเรื่องดีๆ มาแนะนำสำหรับผู้กำลังมองหาการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีๆต้องเลือก บมจ.ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น หรือ SUPER ภายใต้แกนนำของ CEO "จอมทรัพย์ โลจายะ" เตรียมเสนอขายหุ้นกู้อายุ 3 ปี ให้แก่ผู้ลงทุนรายใหญ่/ผู้ลงทุนสถาบัน ระหว่างวันที่ 24 – 26 ตุลาคมนี้ อัตราดอกเบี้ย 5.00 – 5.20% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน จองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท ทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท วัตถุประสงค์การระดมทุน จะนำเงินไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ชำระคืนหุ้นกู้ ส่วนอันดับความน่าเชื่อถือหุ้นกู้ “ BBB ” แนวโน้ม “positive” จากทริสเรทติ้ง อยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติม เข้าดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.sec.or.th ห้ามพลาดกันนะคร้าา!
15-09-23 สวัสดีพี่น้องชาวไทย "เจ๊จิ๋ม" มารายงานตัว ณ ที่เก่าเวลาเดิม www.share2trade.com เปิดอ่านได้เลยเวลา 7.30 น.มีเรื่องเด็ดๆ โดนๆ มาเม้าท์กันให้สนั่นวงการลงทุนของพวกเรากันเถอะ
***จากมติที่ประชุม ครม. ที่ออกมา มีความคิดเห็นที่หลากหลายจากเซียนหุ้นค่ายต่างๆ เจ๊จิ๋มหยิบมาให้ดูกันว่าคิดเห็นอย่างไรกันมั่ง เริ่มจาก KCS บอกว่ามอง “บวกเล็กน้อย” ต่อการออกมาตรการลดค่าครองชีพประชาชน โดยเฉพาะประเด็นลดค่าไฟทันที -30 สต./หน่วย หรือคิดเป็น -8% ในขณะที่การลดราคาน้ำมันดีเซลถือเป็นกรอบ ใกล้เคียงกับตลาดคาดก่อนหน้า ทั้งนี้คาดผลประโยชน์หลักๆจากค่าไฟลง จะเกิดตั้งแต่ 4Q23F และจะรับรู้เต็มปีในปี 24F หลังต้นทุนแก๊สเป็นช่วงขาลง เมื่อเทียบกับต้นปี โดยหากปรับสมมติฐานอัตราค่าไฟต่อหน่วยสำหรับปี 2024F เท่ากับมติ ครม.ล่าสุด (4.10 บ./หน่วย) ส่งผลประมาณการกำไรปี 2024F รวมของกลุ่มค้าปลีกมีโอกาสเกิด upside ราว +5% นำโดย CPAXT (+7%) , CPALL (+6%) และ BJC (+5%)
***คงมุมมองบวกใน ระยะกลางถึงยาวต่อแผนกระตุ้นกำลังซื้อของภาครัฐเพิ่มเติม ทั้งนี้ แม้ระยะสั้น โดยประเมินว่า i) การที่รัฐมีแผนการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บ/วัน (+ 18-20%) จากปัจจุบันที่เฉลี่ย 337 บ/วัน จะมีผลค่าใช้จ่ายดำเนินงานกลุ่มนี้สูงขึ้น หรือกระทบกำไรปี 2024F ราว -5% (กระทบมากสุด คือ CPALL -8% ตามด้วย CPAXT -6%) อย่างไรก็ตาม เราคาดจะชดเชยด้วยกำลังซื้อที่มาก ขึ้นและการผลักภาระบางส่วนของผู้ผลิตไปยังผู้บริโภค หนุนทิศทาง SSSG ใน ระยะถัดไปจะสูงขึ้น
***ผสนกับ ii) ต้นปีหน้า รัฐมีแผนออกมาตรการกระตุ้น กำลังซื้อผ่าน ดิจิตอล วอลเล็ต แก่ประชาชนทั่วไปอีกคนละ 1 หมื่นต่อราย (กำหนดระยะเวลาใช้ภายใน 6 เดือน) คิดเป็นมูลค่ารวมสูงถึง 5.6 แสนลบ. หรือเทียบเท่า +15%ของมูลค่าตลาดค้าปลีกไทย จึงมองว่าประมาณการกำไรปี 2024F กลุ่มมีโอกาสเกิด upside จากปัจจุบันคงน้ำหนัก Bullish โดยปรับมาเลือกหุ้นเด่นเป็น CPALL (TP76) และ DOHOME (TP12.80) ตาม i) แนวโน้มกำไร 2H23F ที่จะโต y-y เด่นสุดในกลุ่มและ ii) เป็นผู้ประกอบการที่จะได้ประโยชน์สูงจากการออกนโยบายกระตุ้นของภาครัฐและราคาสินค้าเกษตรหลักอย่างข้าวในตลาดโลกขาขึ้น
***KCS ยังคงมุมมองราคาหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าอย่าง GPSC และ BGRIM ที่มีแรงกดดันจากการลดค่า ft ก.ย. - ธ.ค. 23 เพิ่มเติม เบื้องต้นคาดกระทบกำไรของ GPSC ใน 2023F ราว -700 ลบ. หรือ -14% คิดเป็น 0.25 บาท/หุ้น และ BGRIM -245 ลบ. หรือราว -10% คิดเป็น 0.09 บาท/หุ้น ในขณะที่ 2024-25F อาจมี upside รวมถึงความผันผวนของราคาก๊าซฯ ในระยะสั้นจะเป็นโอกาสซื้อ มองราคาหุ้น GPSC และ BGRIM ที่ลดลงราว -10% และ -11% ตามลำดับ นับแต่รัฐบาลประกาศแนวทางนโยบายลดค่าไฟฟ้าเพิ่ม (30 ส.ค. 23 ถึงช่วงเช้า 13 ก.ย. 23) น่าจะสะท้อนผลกระทบของค่า ft ที่อาจปรับลงอีก 35 สตางค์/หน่วย ไปมากคงมุมมองการลดราคาน้ำมันดีเซลผ่านการลดภาษีสรรพสามิต ช่วยลด sentiment ลบต่อ OR และ PTG โดยการลดในขั้นแรกทำผ่านภาษีสรรพสามิตจะไม่ได้กระทบต่อค่าการตลาดของเอกชนอย่าง OR และ PTG
***ทางด้าน DAOL มีมุมมองเป็นลบต่อหุ้นค้าปลีกน้ามันแต่ผ่อนคลายมากขึ้นต่อหุ้นโรงไฟฟ้า โดยมองว่าการตรึงราคาน้ำมันดีเซลโดยการลดภาษีและการใช้ กองทุนน้ำมันอาจจะส่งผลให้บริษัทค้าปลีกน้ำมันมีผลขาดทุนสต๊อกได้ ในขณะเดียวกันการควบคุมค่าการตลาดเบนซินที่เป็นไปได้ก็อาจจะส่งผลต่ออัตรากำไรโดยรวม โดยทั้งสองปัจจัยนี้อาจส่งให้ค่าการตลาดโดยรวม (และกำไร ขั้นต้น) ลดลงได้ อย่างไรก็ดีเชื่อว่าผลกระทบเชิงลบ นี้จะถูดชดเชยด้วยปริมาณยอดขายน้ำมันที่จะสูงขึ้นตามปัจจัยฤดูกาลใน 4Q23E
***ในขณะเดียวกันมีมุมมองที่ผ่อนคลายมากขึ้นต่อกลุ่มโรงไฟฟ้า แม้ว่าจะมีการปรับลดค่าไฟฟ้าลงมาที่ 4.10 บาท/หน่วย มากกว่าที่เคยมีข่าว ออกมาที่ 4.25 บาท/หน่วย จากค่าไฟปัจจุบันที่ 4.45 บาท/หน่วย แต่แนวทางที่รัฐพยายามดำเนินการคือการปรับลดในส่วนของต้นทุนค่าก๊าซลงมาด้วย ซึ่งจะทำให้ผลกระทบต่อโรงไฟฟ้า SPP มีน้อยกว่าที่ตลาดประเมินต้องแบกรับการลดค่าไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ทั้งนี้ยังคงน้ำหนักการลงทุน “เท่ากับตลาด” สำหรับกลุ่มพลังงานและ “น้อยกว่าตลาด” สำหรับกลุ่มโรงไฟฟ้า ยังชอบหุ้นกลุ่ม พลังงานต้นน้ำและโรงกลั่นซึ่งได้ประโยชน์จากแนวโน้มราคาน้ำมันขาขึ้นใน 2H23E และเชื่อว่าจะได้รับผลกระทบที่จำกัดจากนโยบายพลังงานใหม่ โดยหุ้นที่ชอบคือ PTTEP (ซื้อ/เป้า 180.00 บาท), SPRC (ซื้อ/เป้า 11.00 บาท) และ TOP (ซื้อ/เป้า 64.00 บาท)
***ASPS นโยบายส่วนใหญ่เน้นไปที่การช่วยเหลือภาคประชาชน ลดค่าครองชีพเป็นหลัก ทั้งการลดค่าไฟฟ้าและน้ำมันดิบ ซึ่งมองผิวเผินจะส่งผลลบต่อหุ้นกลุ่มโรงกลั่น-โรงไฟฟ้า อย่างไนก็ตาม ฝ่ายวิจัยฯจะมาจำแนกให้ดูว่า ทั้ง 2 กลุ่มโดนผลกระทบจริงๆ หรือไม่ เริ่มจากการปรับลดราคาน้ำมันดีเซล เป็นการปรับลดผ่านการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต ซึ่งปัจจุบันภาครัฐจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 5.99 บาท/ ลิตร ดังนั้น ภาครัฐยังสามารถใช้ภาษีสรรพสามิตเป็นกลไกในการช่วยให้ราคาน้ำมันดีเซลปรับลดลงเหลือไม่เกิน 30 บาท/ลิตรได้ โดยไม่กระทบต่อกลุ่มโรงกลั่น หรือ ผู้ประกอบการค้าปลีกน้ำมันแต่อย่างใด จะกระทบเพียงภาครัฐที่รายได้จากการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจะลดลงเท่านั้น ดังนั้น แนะนำทยอยสะสมหุ้นในกลุ่มโรงกลั่น เมื่อราคาอ่อนตัวลงมาหรือเข้าใกล้แนวรับสำคัญทางเทคนิค ชอบ PTT PTTEP TOP SPRC
***ส่วนต่อมา คือ การลดค่าไฟฟ้าซึ่งยังต้องรอสรุปอย่างเป็นทางการว่าแนวทางการปรับลดค่าไฟครั้งนี้จะใช้วิธีการใด ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีรายละเอียดเนื้อข่าวที่แน่ชัด ฝ่ายวิจัยฯจึงจำแนกออกเป็น 2 วิธีที่สามารถเกิดขึ้นได้ 1. หากรัฐบาลสามารถใช้วิธีการยืดการชำระหนี้ให้แก่ กฟผ. ออกไป อาจส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ที่มีสัดส่วนขายไฟฟ้าให้แก่กลุ่ม ลูกค้าอุตสาหกรรมค่อนข้างสูงอย่าง GPSC (สัดส่วนรายได้จากการขาย ไฟฟ้าให้ลูกค้าอุตสาหกรรมราว 30% ของรายได้รวม) , BGRIM (สัดส่วน รายได้จากการขายไฟฟ้าให้ลูกค้าอุตสาหกรรมราว 27% ของรายได้รวม), GULF (สัดส่วนรายได้จากการขายไฟฟ้าให้ลูกค้าอุตสาหกรรมราว 13% ของรายได้รวม) 2. หากใช้วิธีการช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หรือ 500 หน่วย/เดือน จะไม่มีผลกระทบต่ออัตรากำไรของผู้ประกอบการกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP แต่อย่างใด
***ปิดท้ายวันนี้มีเรื่องดีๆ มาแนะนำสำหรับผู้กำลังมองหาการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีๆต้องเลือก บมจ.ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น หรือ SUPER ภายใต้แกนนำของ CEO "จอมทรัพย์ โลจายะ" เตรียมเสนอขายหุ้นกู้อายุ 3 ปี ให้แก่ผู้ลงทุนรายใหญ่/ผู้ลงทุนสถาบัน ระหว่างวันที่ 24 – 26 ตุลาคมนี้ อัตราดอกเบี้ย 5.00 – 5.20% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน จองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท ทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท วัตถุประสงค์การระดมทุน จะนำเงินไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ชำระคืนหุ้นกู้ ส่วนอันดับความน่าเชื่อถือหุ้นกู้ “ BBB ” แนวโน้ม “positive” จากทริสเรทติ้ง อยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติม เข้าดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.sec.or.th ห้ามพลาดกันนะคร้าา!