Wealth Sharing

MC อู้ฟู่ไตรมาส 2 ปีบัญชี 66 กำไร 246 ลบ. จ่ายปันผลงวดกลางปี 0.45 บ.


10 กุมภาพันธ์ 2566
“แม็คกรุ๊ป” กำไรสร้างสถิติสูงสุดโตต่อเนื่อง ไตรมาส 2 ปีบัญชี 2566 ทำได้ 246 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 112% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 และเพิ่มขึ้น 6.7% เมื่อเทียบงวดเดียวกันปีก่อน ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นยังสูง 65.2% อัตรากำไรสุทธิ 22% รับอานิสงส์เศรษฐกิจประเทศฟื้นหลังเปิดประเทศ ท่องเที่ยวคึกคัก ดันยอดช้อปพุ่งกระจาย รายได้ครึ่งปีทะยานแตะ 1,876 ล้านบาท ด้านฐานะการเงินแข็งแกร่ง เงินสดในมือทะลุ 2,110 ล้านบาท บอร์ดอนุมัติปันผลงวดกลางปี                     0.45 บาทต่อหุ้น
 MC อู้ฟู่ไตรมาส.jpg
นายเจมส์ ริชาร์ด อมตวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MC องค์กรธุรกิจค้าปลีก ประเภทสินค้าแฟชั่นและสินค้าไลฟ์สไตล์ “แม็คยีนส์” เปิดเผยถึงภาพรวมผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2 ปีบัญชี 2566 (1 ตุลาคม- 31ธันวาคม 2565) ว่า กลุ่มบริษัทมีกำไรสุทธิ 246      ล้านบาท เพิ่มขึ้น 112% เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ที่มีกำไรสุทธิ 116 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 6.7% เมื่อเทียบงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 231 ล้านบาท โดยบริษัทยังคงสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้น  (มาร์จิ้น) ให้อยู่ในระดับที่สูงกว่า 65.2% จากไตรมาส 1 อยู่ที่ 64.6% ส่วนอัตรากำไรสุทธิขยับขึ้นมาอยู่ที่ 22% จาก 15% เมื่อไตรมาสแรกของปี

กำไรของบริษัทเพิ่มขึ้นต่อเนื่องติดต่อกัน 2 ไตรมาส หนุนให้ งวด 6 เดือนแรกงวดปีบัญชี 2566 (1 กรกฎาคม-31ธันวาคม 2565) มีกำไรสุทธิ 362 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42.3% เมื่อเทียบงวดเดียวกันมีกำไรสุทธิ 254 ล้านบาท 

นายเจมส์ ริชาร์ด กล่าวว่า ไตรมาส 2 ของปีบัญชี 2566 บริษัทมีรายได้การขายสินค้ารวม 1,117 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47.2% จากไตรมาสแรกที่มีรายได้ 759 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 12.2% เมื่อเทียบงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 995 ล้านบาท ขณะที่งวด 6 เดือน มีรายได้ 1,876 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.9% เมื่อเทียบงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 1,433 ล้านบาท ซึ่งได้ปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลังเปิดเมือง หนุนให้การท่องเที่ยวในประเทศให้กลับมาคึกคัก การปรับตัวลดลงของราคาขายปลีกน้ำมัน ทำให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นและมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่พุ่งขึ้นแตะระดับ 50.4 ในเดือนธันวาคมจากระดับ 46.4 ในเดือนกันยายน 2565   

นายเจมส์ ริชาร์ด กล่าวว่า กำลังซื้อกลับเข้ามาชัดเจนเพิ่มขึ้นจากช่องทางออฟไลน์ อันได้แก่  ช่องทางร้านค้าปลีกของตนเอง (Free-standing Shop) 66%, ห้างสรรพสินค้า (Department Store) 23% , ร้านค้าออนไลน์ (E-Commerce) 8% และช่องทางอื่นๆ คิดเป็น 4%

ทั้งนี้ รายได้จากช่องทางค้าปลีกของตนเองเพิ่มขึ้นชัดเจน โดยไตรมาส 2 มีรายได้ 738 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% หรือ 129 ล้านบาท ส่วนงวด 6 เดือน มีรายได้ 1,231 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42% หรือ 364 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากกลยุทธ์ในการขยายสาขา Mc Outlet เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าสิ้นเดือนมีนาคมนี้จะเปิดได้ครบ 100 สาขา เกินเป้าหมายที่วางไว้ว่าปีบัญชี 2566 ที่จะเปิดให้ได้  80 สาขาและเพิ่มขึ้นจากสิ้นปีบัญชี 2565 ที่มีทั้งสิ้น 72 สาขา และยังคงเดินหน้าเปิดสาขา Mc Outlet เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“บริษัทฯ ยังคงดำเนินธุรกิจตามกลยุทธ์หลักที่มุ่งเน้นคุมเข้มต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการค่าใช้จ่าย รวมถึงกลยุทธ์ Product Mix การส่งเสริมการขายและการบริหารช่องทางการขายสินค้าที่ทำมาต่อเนื่อง ส่งผลให้ผลดำเนินรวมของบริษัทเติบโตและกลับไปดีกว่าช่วงก่อนโควิด-19 หนุนให้ผลตอบแทนส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) ขึ้นไปอยู่ที่ 15.8% จาก 13.4% ภาพรวมการทำธุรกิจก็ยังมีความเสี่ยงจากความตึงเครียดรัสเซีย ยูเครน การปรับขึ้นของราคาน้ำมัน และการปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยที่มีผลต่อต้นทุนทางการเงิน ซึ่งแม็คกรุ๊ปไม่มีหนี้เงินกู้กับสถาบันการเงิน และมีเงินสดในมือเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดย ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2565 มีเงินสดอยู่ที่ 2,110 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 115 ล้านบาท จากสิ้นปีบัญชี 2565” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บมจ.แม็คกรุ๊ป กล่าว 

นายเจมส์ ริชาร์ด กล่าวว่า ผลดำเนินงานและฐานะการเงินที่แข็งแกร่งต่อเนื่องส่งผลให้คณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นสำหรับผลดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปีบัญชี 2566 ในอัตราหุ้นละ 0.45 บาท คิดเป็นอัตราการจ่ายเกือบ 100% สูงกว่านโยบายที่จะจ่ายไม่น้อยกว่า 40%
MC