ทัศนคติต่อผู้หญิงอ้วนในประวัติศาสตร์โลก แตกต่างกันไปตามยุคสมัยและวัฒนธรรม
ในยุคกรีกโบราณ ผู้หญิงอ้วนถือเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์และเจริญพันธุ์ ผู้หญิงที่มีรูปร่างอวบอิ่มจึงได้รับการยกย่อง
ในยุคกลาง ผู้หญิงอ้วนถือเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งและสถานะทางสังคม ผู้หญิงที่มีรูปร่างอวบอิ่มจึงได้รับการยอมรับ
ในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา ผู้หญิงผอมบางเริ่มได้รับความนิยม ผู้หญิงที่มีรูปร่างอวบอิ่มจึงถูกมองว่าไม่สวยงาม
ในยุคปัจจุบัน ผู้หญิงผอมบางยังคงเป็นที่นิยม ผู้หญิงอ้วนจึงมักถูกมองว่าไม่สวย ไม่สุขภาพดี และไม่มีเสน่ห์
ทัศนคติต่อผู้หญิงอ้วนในปัจจุบัน ยังมีอคติอยู่มาก ผู้หญิงอ้วนมักถูกมองว่าเป็นคนขี้เกียจ ขาดวินัย และไม่ดีต่อสุขภาพ ทัศนคติเหล่านี้อาจส่งผลเสียต่อจิตใจและสุขภาพของผู้หญิงอ้วน
มาตรฐานความอ้วนในเชิงวิทยาศาสตร์ จะใช้ค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index: BMI) เป็นตัวชี้วัด โดย BMI คำนวณจากน้ำหนักตัว (กิโลกรัม) หารด้วยส่วนสูง (เมตร) ยกกำลังสอง
ค่า BMI แบ่งออกเป็น 5 ระดับ ดังนี้
* ต่ำกว่า 18.5 : ผอม
* 18.5-24.9 : ปกติ
* 25-29.9 : น้ำหนักเกิน
* 30-34.9 : โรคอ้วนระดับ 1
* 35-39.9 : โรคอ้วนระดับ 2
* 40 หรือมากกว่า : โรคอ้วนระดับ 3
ค่า BMI ที่ 25 หรือมากกว่า ถือว่าเป็นน้ำหนักเกิน และค่า BMI ที่ 30 หรือมากกว่า ถือว่าเป็นโรคอ้วน
หากมีค่า BMI อยู่ในระดับโรคอ้วน จะเพิ่มความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพต่างๆ มากมาย เช่น โรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคข้ออักเสบ โรคมะเร็งบางชนิด เป็นต้น
สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าความอ้วนเป็นปัญหาสุขภาพที่มีสาเหตุมาจากปัจจัยหลายประการ เช่น พันธุกรรม พฤติกรรมการกิน และระดับกิจกรรมทางกาย ผู้หญิงอ้วนไม่ควรถูกตัดสินจากรูปร่างหน้าตา แต่ควรได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมและเคารพ