เจ๊จิ๋ม..สายเถื่อน 29-09-23
29-09-23 สวัสดีพี่น้องชาวไทย "เจ๊จิ๋ม" มารายงานตัว ณ ที่เก่าเวลาเดิม www.share2trade.com เปิดอ่านได้เลยเวลา 7.30 น.มีเรื่องเด็ดๆ โดนๆ มาเม้าท์กันให้สนั่นวงการลงทุนของพวกเรากันเถอะ
***เกี่ยวกับเรื่องที่ กนง. มีมติเอกฉันท์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อีก 0.25% มาที่ 2.5% มีอีกไอเดียที่น่าสนใจ โดยกูรูหุ้นบอกว่าดอกเบี้ยขึ้นอีกครั้ง และผลต่อ BANK กับ Non – Bank
***เพราะมองว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งนี้ เป็นบวกทันทีต่อเงินกู้ยืม ระหว่างธนาคาร (Interbank) ดีต่อ BBL, KTB ขณะที่ฝั่งดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อยังต้อง จับตามองการตอบสนองจากกลุ่มฯ หลังการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรอบก่อนหน้ายังไม่มีแบงก์ใดขึ้น M-RATE ทั้งนี้ กรณีที่มีการเพิ่ม M-RATE มองว่า MLR ที่คิดกับลูกค้ารายใหญ่ น่าจะถูกปรับขึ้นในอัตราสูงกว่า MRR ที่คิดกับ SME และรายย่อย ซึ่งศักยภาพในการชำระหนี้ยังฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยรวมบวกต่อ BBL ที่มีสัดส่วนสินเชื่อรายใหญ่มากสุดในกลุ่มฯ โดยการลงทุนสำหรับกลุ่มธนาคาร เลือก BBL จากคุณภาพสินทรัพย์แกร่งกว่ากลุ่ม ฯ และคาดรับประโยชน์จากการขึ้นดอกเบี้ยมากกว่ากลุ่มฯ ส่วนแบงก์เล็ก แม้เสียเปรียบแบงก์ใหญ่ ยามดอกเบี้ยขาขึ้น แต่มีจุดเด่นจาก DIV YIELD สูง ยังชอบ TISCO ที่ให้ DIV YIELD สูงสุดในกลุ่มฯ มากกว่า KKP นอกจากนี้มุมมองในเชิงกล ยุทธ์ ภายใต้การกลับเข้าซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติวานนี้ ผสานกับการขึ้น ดอกเบี้ยนโยบาย น่าจะสร้างความคึกคักให้กับ KBANK ที่ราคาผ่านการปรับฐานเป็น อันดับต้นของกลุ่มแบงก์ใหญ่
***ส่วนกลุ่ม Non – Bank (เฉพาะ MTC, SAWAD, TIDLOR) กรณีที่ธนาคารมีการปรับ ขึ้น M-Rate และ Bond Yield ยืนในระดับสูง ในทางพื้นฐานส่งผลให้แนวโน้มต้นทุนทาง การเงิน (Cost of fund : COF) ของกลุ่มสูงขึ้นในระยะถัดไป ซึ่งโครงสร้างหนี้สินที่มีดอกเบี้ยอายุ 1 ปี ณ สิ้นงวดไตรมาส 2/66 เฉลี่ยอยู่ที่ 38% ของภาระหนี้ที่มีดอกเบี้ย (หนี้กับสถาบันการเงินประมาณ 21% ของภาระหนี้ที่มีดอกเบี้ย) โดยช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่ เริ่มต้นวัฎจักรดอกเบี้ยขาขึ้นของไทยช่วงครึ่งหลังปี 65 พบว่า COF กลุ่มฯ งวดไตรมาส 2/66 อยู่ที่ ประมาณ 3.3% VS 3.0% งวดไตรมาส 2/65 ตรงข้ามกับฝั่งดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อคงที่ (กรณี มีการปรับดอกเบี้ยขึ้นจะส่งผลเฉพาะสัญญาฉบับใหม่) ด้านคุณภาพสินทรัพย์กลุ่มฯ มองว่ายังอยู่ในวัฎจักรขาขึ้นของ NPL
***อย่างไรก็ดีราคาหุ้นกลุ่มจำนำทะเบียน ตั้งแต่ Bond yield ไทยปรับตัวขึ้นช่วง ก.ย. 66 ส่งผลให้ราคาหุ้นในกลุ่มฯ มีการปรับฐาน พอสมควร และ YTD ให้ผลตอบแทนติดลบทุกตัว น่าจะสะท้อนปัจจัยข้างต้นบางส่วนแล้ว ให้คำแนะนำ Outperform ต่อ TIDLOR เพราะราคาหุ้น YTD ลดลง 20.3% มากกว่า MTC และ SAWAD ลบ 3.3% และ 10.8% YTD ตามลำดับ ประกอบกับคุณภาพสินทรัพย์ของ TIDLOR ในเชิง Coverage ratio สูงสุดในกลุ่มฯ ที่ 266%
***ส่วนกูรูอีกค่ายบอกว่ามีมุมมองเป็นบวกต่อกลุ่มธนาคารจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ตามคาด โดยประเมินว่าหลังจากนี้ กนง. จะคงอัตราดอกเบี้ยระดับนี้ไปจนถึงปีหน้า ส่งผลบวกต่อธนาคารขนาดใหญ่ เรียงจากมาก-น้อยคือ BBL, KTB, KBANK และ SCB โดยยังคงน้ำหนักกลุ่มธนาคารเป็น “มากกว่า ตลาด” เลือก BBL-KTB เป็น Top pick
***สำหรับกลุ่ม Finance มองลบเล็กน้อย เพราะการขึ้นอัตราดอกเบี้ย รอบนี้เป็นไปตามที่คาดว่าจะเป็นจุดสิ้นสุด ทำให้ผลการดำเนินงานของกลุ่ม Finance ยังเป็นไปตามคาด ไม่มี downside เพิ่มเติมอย่างมีนัย ทั้งนี้กลุ่ม Finance ยังคงน้ำหนักการลงทุน “มากกว่าตลาด” จากความคาดหวังต่อผลการดำเนินงานที่จะผ่านจุดต่ำสุดแล้วในไตรมาส 3/66 จาก NPL credit cost ที่เพิ่มขึ้น ก่อนที่จะเริ่มดีขึ้นในไตรมาส 4 นี้โดยมี Top pick เป็น SAWAD
***ว๊าววววว ปรบมือรัวๆๆ ให้กับ "ป๋ายุทธ" ณ EP สุดยอด!!!ไม่ทำให้นักลงทุนผิดหวังจริงๆ ได้ยินว่าป๋าจรดปากกาเซ็นเช็คสั่งจ่ายคืนทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยสำหรับหุ้นกู้รุ่น EPCO230A มูลค่ากว่า 770 ล้านบาท ที่จะครบดีล 1 ตุลาคม 2566 เป็นที่เรียบร้อย..งานนี้บอกได้เลยว่า หุ้นกู้อื่นๆ จะเป็นยังไงไม่รู้ แต่สำหรับผู้ถือหุ้นกู้ของ EP สบายใจหายห่วงได้เลย ปล.ไม่ต้องห่วงเรื่องโรงไฟฟ้าเวียดนาม ตอนนี้ COD เรียบร้อย จ่อรับรับรู้รายได้เริ่มตุลาคมนี้ ดันผลงานมาตามนัดแน่นอน!!!
***นี่เป็นอีกเรื่องเจ๋งๆ ที่ต้องบอกต่อของ NRF นำทีมบริหารโดยซีอีโอ “แดน ปฐมวาณิชย์” ตอนนี้ได้รับอานิสงส์เงินบาทอ่อน หนุนยอดส่งออกดี ซึ่งสอดคล้องกับรายงานของ Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย ที่เปิดเผยว่า ค่าเงินบาท “อ่อนค่าลง” ลุ้นดันงบในช่วงครึ่งปีหลังเติบโตโดดเด่นกว่าครึ่งปีแรก และทั้งปีมั่นใจรายได้โตมากกว่าปีที่ผ่านมา พร้อมเดินหน้าทำผลงานอย่างต่อเนื่อง ดีลร้านค้าปลีกในกรุงลอนดอนเป็นไปตามแผน ปูทาง NRF ก้าวสู่แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซด้านอาหารเอเชียเบอร์ 1 ในยุโรป เริ๊ดดดดดดดดดดด
***เข้าโค้งสุดท้ายปลายปี 66 “เฮียพอล-สมพล” บิ๊กบอสคนขยันของ FPI เริ่มเดินสายออกเดินทางไปเยี่ยมเยียนลูกค้าตามทวีปต่างๆ ไล่เรียงจากไปโรงงานที่อินเดีย ต่อด้วยตะวันออกกลาง ยุโรป อเมริกา เรียกได้ว่าทั่วทุกมุมโลก “เฮียพอล” พร้อมลุยไปรับออเดอร์รัวๆ ...ก็แหม!!! ไตรมาส 3-4 ถือได้ว่าเป็นไฮซีซั่นของธุรกิจ ก็ต้องออกไปแตะขอบฟ้ากันหน่อย มั่นใจว่าผลงานปีนี้จะยังคงเติบโตได้ตามเป้าหมายในระดับ 10% จากปีก่อน รู้อย่างนี้ผู้ถือหุ้นสบายใจหายห่วงได้เลย!!
29-09-23 สวัสดีพี่น้องชาวไทย "เจ๊จิ๋ม" มารายงานตัว ณ ที่เก่าเวลาเดิม www.share2trade.com เปิดอ่านได้เลยเวลา 7.30 น.มีเรื่องเด็ดๆ โดนๆ มาเม้าท์กันให้สนั่นวงการลงทุนของพวกเรากันเถอะ
***เกี่ยวกับเรื่องที่ กนง. มีมติเอกฉันท์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อีก 0.25% มาที่ 2.5% มีอีกไอเดียที่น่าสนใจ โดยกูรูหุ้นบอกว่าดอกเบี้ยขึ้นอีกครั้ง และผลต่อ BANK กับ Non – Bank
***เพราะมองว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งนี้ เป็นบวกทันทีต่อเงินกู้ยืม ระหว่างธนาคาร (Interbank) ดีต่อ BBL, KTB ขณะที่ฝั่งดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อยังต้อง จับตามองการตอบสนองจากกลุ่มฯ หลังการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรอบก่อนหน้ายังไม่มีแบงก์ใดขึ้น M-RATE ทั้งนี้ กรณีที่มีการเพิ่ม M-RATE มองว่า MLR ที่คิดกับลูกค้ารายใหญ่ น่าจะถูกปรับขึ้นในอัตราสูงกว่า MRR ที่คิดกับ SME และรายย่อย ซึ่งศักยภาพในการชำระหนี้ยังฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยรวมบวกต่อ BBL ที่มีสัดส่วนสินเชื่อรายใหญ่มากสุดในกลุ่มฯ โดยการลงทุนสำหรับกลุ่มธนาคาร เลือก BBL จากคุณภาพสินทรัพย์แกร่งกว่ากลุ่ม ฯ และคาดรับประโยชน์จากการขึ้นดอกเบี้ยมากกว่ากลุ่มฯ ส่วนแบงก์เล็ก แม้เสียเปรียบแบงก์ใหญ่ ยามดอกเบี้ยขาขึ้น แต่มีจุดเด่นจาก DIV YIELD สูง ยังชอบ TISCO ที่ให้ DIV YIELD สูงสุดในกลุ่มฯ มากกว่า KKP นอกจากนี้มุมมองในเชิงกล ยุทธ์ ภายใต้การกลับเข้าซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติวานนี้ ผสานกับการขึ้น ดอกเบี้ยนโยบาย น่าจะสร้างความคึกคักให้กับ KBANK ที่ราคาผ่านการปรับฐานเป็น อันดับต้นของกลุ่มแบงก์ใหญ่
***ส่วนกลุ่ม Non – Bank (เฉพาะ MTC, SAWAD, TIDLOR) กรณีที่ธนาคารมีการปรับ ขึ้น M-Rate และ Bond Yield ยืนในระดับสูง ในทางพื้นฐานส่งผลให้แนวโน้มต้นทุนทาง การเงิน (Cost of fund : COF) ของกลุ่มสูงขึ้นในระยะถัดไป ซึ่งโครงสร้างหนี้สินที่มีดอกเบี้ยอายุ 1 ปี ณ สิ้นงวดไตรมาส 2/66 เฉลี่ยอยู่ที่ 38% ของภาระหนี้ที่มีดอกเบี้ย (หนี้กับสถาบันการเงินประมาณ 21% ของภาระหนี้ที่มีดอกเบี้ย) โดยช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่ เริ่มต้นวัฎจักรดอกเบี้ยขาขึ้นของไทยช่วงครึ่งหลังปี 65 พบว่า COF กลุ่มฯ งวดไตรมาส 2/66 อยู่ที่ ประมาณ 3.3% VS 3.0% งวดไตรมาส 2/65 ตรงข้ามกับฝั่งดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อคงที่ (กรณี มีการปรับดอกเบี้ยขึ้นจะส่งผลเฉพาะสัญญาฉบับใหม่) ด้านคุณภาพสินทรัพย์กลุ่มฯ มองว่ายังอยู่ในวัฎจักรขาขึ้นของ NPL
***อย่างไรก็ดีราคาหุ้นกลุ่มจำนำทะเบียน ตั้งแต่ Bond yield ไทยปรับตัวขึ้นช่วง ก.ย. 66 ส่งผลให้ราคาหุ้นในกลุ่มฯ มีการปรับฐาน พอสมควร และ YTD ให้ผลตอบแทนติดลบทุกตัว น่าจะสะท้อนปัจจัยข้างต้นบางส่วนแล้ว ให้คำแนะนำ Outperform ต่อ TIDLOR เพราะราคาหุ้น YTD ลดลง 20.3% มากกว่า MTC และ SAWAD ลบ 3.3% และ 10.8% YTD ตามลำดับ ประกอบกับคุณภาพสินทรัพย์ของ TIDLOR ในเชิง Coverage ratio สูงสุดในกลุ่มฯ ที่ 266%
***ส่วนกูรูอีกค่ายบอกว่ามีมุมมองเป็นบวกต่อกลุ่มธนาคารจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ตามคาด โดยประเมินว่าหลังจากนี้ กนง. จะคงอัตราดอกเบี้ยระดับนี้ไปจนถึงปีหน้า ส่งผลบวกต่อธนาคารขนาดใหญ่ เรียงจากมาก-น้อยคือ BBL, KTB, KBANK และ SCB โดยยังคงน้ำหนักกลุ่มธนาคารเป็น “มากกว่า ตลาด” เลือก BBL-KTB เป็น Top pick
***สำหรับกลุ่ม Finance มองลบเล็กน้อย เพราะการขึ้นอัตราดอกเบี้ย รอบนี้เป็นไปตามที่คาดว่าจะเป็นจุดสิ้นสุด ทำให้ผลการดำเนินงานของกลุ่ม Finance ยังเป็นไปตามคาด ไม่มี downside เพิ่มเติมอย่างมีนัย ทั้งนี้กลุ่ม Finance ยังคงน้ำหนักการลงทุน “มากกว่าตลาด” จากความคาดหวังต่อผลการดำเนินงานที่จะผ่านจุดต่ำสุดแล้วในไตรมาส 3/66 จาก NPL credit cost ที่เพิ่มขึ้น ก่อนที่จะเริ่มดีขึ้นในไตรมาส 4 นี้โดยมี Top pick เป็น SAWAD
***ว๊าววววว ปรบมือรัวๆๆ ให้กับ "ป๋ายุทธ" ณ EP สุดยอด!!!ไม่ทำให้นักลงทุนผิดหวังจริงๆ ได้ยินว่าป๋าจรดปากกาเซ็นเช็คสั่งจ่ายคืนทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยสำหรับหุ้นกู้รุ่น EPCO230A มูลค่ากว่า 770 ล้านบาท ที่จะครบดีล 1 ตุลาคม 2566 เป็นที่เรียบร้อย..งานนี้บอกได้เลยว่า หุ้นกู้อื่นๆ จะเป็นยังไงไม่รู้ แต่สำหรับผู้ถือหุ้นกู้ของ EP สบายใจหายห่วงได้เลย ปล.ไม่ต้องห่วงเรื่องโรงไฟฟ้าเวียดนาม ตอนนี้ COD เรียบร้อย จ่อรับรับรู้รายได้เริ่มตุลาคมนี้ ดันผลงานมาตามนัดแน่นอน!!!
***นี่เป็นอีกเรื่องเจ๋งๆ ที่ต้องบอกต่อของ NRF นำทีมบริหารโดยซีอีโอ “แดน ปฐมวาณิชย์” ตอนนี้ได้รับอานิสงส์เงินบาทอ่อน หนุนยอดส่งออกดี ซึ่งสอดคล้องกับรายงานของ Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย ที่เปิดเผยว่า ค่าเงินบาท “อ่อนค่าลง” ลุ้นดันงบในช่วงครึ่งปีหลังเติบโตโดดเด่นกว่าครึ่งปีแรก และทั้งปีมั่นใจรายได้โตมากกว่าปีที่ผ่านมา พร้อมเดินหน้าทำผลงานอย่างต่อเนื่อง ดีลร้านค้าปลีกในกรุงลอนดอนเป็นไปตามแผน ปูทาง NRF ก้าวสู่แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซด้านอาหารเอเชียเบอร์ 1 ในยุโรป เริ๊ดดดดดดดดดดด
***เข้าโค้งสุดท้ายปลายปี 66 “เฮียพอล-สมพล” บิ๊กบอสคนขยันของ FPI เริ่มเดินสายออกเดินทางไปเยี่ยมเยียนลูกค้าตามทวีปต่างๆ ไล่เรียงจากไปโรงงานที่อินเดีย ต่อด้วยตะวันออกกลาง ยุโรป อเมริกา เรียกได้ว่าทั่วทุกมุมโลก “เฮียพอล” พร้อมลุยไปรับออเดอร์รัวๆ ...ก็แหม!!! ไตรมาส 3-4 ถือได้ว่าเป็นไฮซีซั่นของธุรกิจ ก็ต้องออกไปแตะขอบฟ้ากันหน่อย มั่นใจว่าผลงานปีนี้จะยังคงเติบโตได้ตามเป้าหมายในระดับ 10% จากปีก่อน รู้อย่างนี้ผู้ถือหุ้นสบายใจหายห่วงได้เลย!!