บล.ทรีนีตี้ เผยบทวิเคราะห์ โดยประเมินตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 4/66 จะปรับตัวเจอจุดต่ำสุดชั่วคราวในช่วงแรก ก่อนที่หลังจากนั้นจะทยอยปรับตัว Sideways up ขึ้นได้ โดยมีปัจจัยหนุน 4 หลักได้แก่ 1. การสิ้นสุดรอบการปรับลดประมาณการของบริษัทจดทะเบียนไทย และอาจมีความเป็นไปได้ในการปรับประมาณการเพิ่มในกลุ่ม Oil & Gas, กลุ่มอิงกับการบริโภคภายในประเทศ กลุ่มส่งออก และกลุ่มท่องเที่ยว

2. การยุติวงจรดอกเบี้ยขาขึ้นของไทยไว้ที่ระดับ 2.50% ซึ่งในอดีตแล้วมักนำมาสู่การปรับตัวที่ดีของดัชนีหุ้นไทยหลังจากนั้น 3. เศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มเติบโตดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 4 เป็นต้นไป จากแรงส่งทางด้านการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งน่าจะทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติปรับตัวดีขึ้น และ 4. เศรษฐกิจโลกที่แนวโน้มทั่วไปยังคงดีอยู่ และค่อนข้างมั่นใจว่าในไตรมาส 4 นี้จะยังไม่มีสัญญาณความเสี่ยงใด ๆ เกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยออกมา
ในเชิงกลยุทธ์ แนะนำให้นักลงทุนใช้จังหวะที่ดัชนีกำลังซื้อขายอยู่บริเวณต่ำกว่า 1,500 จุด ในการทยอยเข้าสะสมหุ้นได้ เนื่องจากเป็นระดับที่ Valuation เริ่มมี upside จากระดับดัชนีเป้าหมายของฝ่ายวิจัยในกรณีดีสุดที่ 1,515 จุด และหากยิ่งดัชนีลงลึกไปใกล้ระดับ 1,470 จุด มองเป็นโซนในการเข้าซื้อที่น่าสนใจมาก เนื่องจากจะเทียบเท่าเท่ากับระดับ PBV ที่ 1.4 เท่า ซึ่งในอดีตแล้ว มักเป็นระดับที่ดัชนีมีเสถียรภาพในทุกๆ ครั้งที่ดัชนีมีการปรับตัวลง
ฝ่ายวิจัยได้แบ่งกลุ่มที่น่าสนใจประจำไตรมาส 4 ออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ 1. กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ทั้ง Consumer staple และ Grassroot consumption อาทิ CPALL, CPAXT, BJC, CRC, HMPRO, GLOBAL, DOHOME, TNP, MENA
2. กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ยังคงแข็งแกร่ง ภาคการผลิตทั่วโลกที่ฟื้นตัว ภาวะ De-stocking ที่ผ่อนคลายลงและเริ่มกลับกลายเป็น Re-stocking เลือกกลุ่มส่งออก อาทิ KCE, HANA, AAI, ITC, CPF, BTG, GFPT, TU รวมถึงกลุ่มเดินเรือและ Logistics ที่ได้ประโยชน์จากปริมาณการค้าขายและการขนส่งทั่วโลกที่กลับมาคึกคักมากขึ้น อาทิ PSL, RCL, III, LEO, SJWD, WICE

2. การยุติวงจรดอกเบี้ยขาขึ้นของไทยไว้ที่ระดับ 2.50% ซึ่งในอดีตแล้วมักนำมาสู่การปรับตัวที่ดีของดัชนีหุ้นไทยหลังจากนั้น 3. เศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มเติบโตดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 4 เป็นต้นไป จากแรงส่งทางด้านการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งน่าจะทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติปรับตัวดีขึ้น และ 4. เศรษฐกิจโลกที่แนวโน้มทั่วไปยังคงดีอยู่ และค่อนข้างมั่นใจว่าในไตรมาส 4 นี้จะยังไม่มีสัญญาณความเสี่ยงใด ๆ เกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยออกมา
ในเชิงกลยุทธ์ แนะนำให้นักลงทุนใช้จังหวะที่ดัชนีกำลังซื้อขายอยู่บริเวณต่ำกว่า 1,500 จุด ในการทยอยเข้าสะสมหุ้นได้ เนื่องจากเป็นระดับที่ Valuation เริ่มมี upside จากระดับดัชนีเป้าหมายของฝ่ายวิจัยในกรณีดีสุดที่ 1,515 จุด และหากยิ่งดัชนีลงลึกไปใกล้ระดับ 1,470 จุด มองเป็นโซนในการเข้าซื้อที่น่าสนใจมาก เนื่องจากจะเทียบเท่าเท่ากับระดับ PBV ที่ 1.4 เท่า ซึ่งในอดีตแล้ว มักเป็นระดับที่ดัชนีมีเสถียรภาพในทุกๆ ครั้งที่ดัชนีมีการปรับตัวลง
ฝ่ายวิจัยได้แบ่งกลุ่มที่น่าสนใจประจำไตรมาส 4 ออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ 1. กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ทั้ง Consumer staple และ Grassroot consumption อาทิ CPALL, CPAXT, BJC, CRC, HMPRO, GLOBAL, DOHOME, TNP, MENA
2. กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ยังคงแข็งแกร่ง ภาคการผลิตทั่วโลกที่ฟื้นตัว ภาวะ De-stocking ที่ผ่อนคลายลงและเริ่มกลับกลายเป็น Re-stocking เลือกกลุ่มส่งออก อาทิ KCE, HANA, AAI, ITC, CPF, BTG, GFPT, TU รวมถึงกลุ่มเดินเรือและ Logistics ที่ได้ประโยชน์จากปริมาณการค้าขายและการขนส่งทั่วโลกที่กลับมาคึกคักมากขึ้น อาทิ PSL, RCL, III, LEO, SJWD, WICE
ยอดนิยม
_0.jpg)
หุ้นไทยรับเงิน “หวยเกษียณ” คาดหวังเงินลงทุนก้อนใหม่ ไหลเข้าตลาดหุ้นระยะแรกกว่า 2.6 พันลบ.
%20copy_0.jpg)
WHA-AMATA รับปัจจัยบวก หลัง BOI ไฟเขียว “ซันโวด้า” ตั้งโรงงานผลิตแบตฯกว่า 5 หมื่นลบ.
_0.jpg)
หุ้นไทยโงหัวไม่ขึ้น! ต่างชาติขายหนัก 4 วัน 8 พันลบ. โบรกฯ หวัง SET ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว?
_0.jpg)
สงครามการค้าดันทองนิวไฮ ราคาทะลุ 3,000 เหรียญสหรัฐ เร็วกว่าที่คาด! ทองแท่งทุบสถิติใหม่ แตะ 47,500 บาท
_0.jpg)