ธุรกิจตู้คีบตุ๊กตามีต้นกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น ในช่วงต้นทศวรรษ 1960 ตู้คีบตุ๊กตาได้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้เป็นเกมในร้านเกมและสวนสนุก ตู้คีบตุ๊กตาได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วและแพร่หลายไปทั่วโลก
สำหรับมูลค่าเศรษฐกิจของธุรกิจตู้คีบตุ๊กตาทั่วโลกนั้น ยังไม่ได้มีการเปิดเผยตัวเลขอย่างเป็นทางการ แต่จากการประเมินของผู้เชี่ยวชาญ คาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 10 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี โดยประเทศที่เป็นเจ้าใหญ่สุด ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน และสหรัฐอเมริกา
ขณะที่ในประเทศไทย ธุรกิจตู้คีบตุ๊กตาเริ่มได้รับความนิยมในช่วงปลายทศวรรษ 1980 ตู้คีบตุ๊กตามักตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้า แหล่งท่องเที่ยว และศูนย์การค้า ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคในทุกเพศทุกวัย ในปัจจุบัน ธุรกิจตู้คีบตุ๊กตา อ้างอิงจากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ มีมูลค่าเศรษฐกิจประมาณ 1,000 ล้านบาทต่อปี โดยผู้ประกอบการส่วนใหญ่เป็นรายย่อยและขนาดย่อม
และจากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่า รายได้เฉลี่ยของผู้ประกอบการตู้คีบตุ๊กตาในประเทศไทย อยู่ที่ประมาณ 100,000 บาทต่อเดือน
ตัวอย่างรายได้ของผู้ประกอบการตู้คีบตุ๊กตาในประเทศไทย
-ผู้ประกอบการที่มีตู้คีบ 10 ตู้ ทำเลที่ตั้งในห้างสรรพสินค้า ราคาสินค้าเฉลี่ย 10 บาท และสินค้ามีความนิยมสูง อาจมีรายได้ประมาณ 100,000 บาทต่อเดือน
-ผู้ประกอบการที่มีตู้คีบ 20 ตู้ ทำเลที่ตั้งในแหล่งท่องเที่ยว ราคาสินค้าเฉลี่ย 20 บาท และสินค้ามีความนิยมสูง อาจมีรายได้ประมาณ 200,000 บาทต่อเดือน
ส่วนในแง่การลงทุนเชิงธุรกิจที่หวังผลจริงจังนั้น การลงทุนขั้นต่ำของธุรกิจตู้คีบตุ๊กตา ควรอยู่ที่ประมาณ 100,000 บาท โดยค่าใช้จ่ายหลัก ได้แก่
ค่าตู้คีบ : ตู้คีบตุ๊กตามีราคาตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป (เว้นแต่เช่า หรือเป็นของมือสอง)
ค่าเช่าพื้นที่ : ค่าเช่าพื้นที่สำหรับตั้งตู้คีบตุ๊กตา ขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้ง
ค่าสินค้า : สินค้าในตู้คีบตุ๊กตามีราคาตั้งแต่ 10 บาทขึ้นไป
แต่ถ้าจะให้เป็นระดับมาตรฐาน ค่าเฉลี่ยการลงทุนของธุรกิจตู้คีบตุ๊กตาคารอยู่ที่ประมาณ 500,000 บาทขึ้นไปโดยการลงทุนส่วนใหญ่จะอยู่ที่ค่าตู้คีบและค่าเช่าพื้นที่
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเติบโตของธุรกิจตู้คีบตุ๊กตาในประเทศไทย ได้แก่
-การเติบโตของเศรษฐกิจและรายได้ของผู้บริโภค
-กระแสความนิยมของสินค้าต่างๆ เช่น ตุ๊กตา โมเดล ของเล่น และแกดเจ็ต
-การพัฒนาของเทคโนโลยีสมัยใหม่
ธุรกิจตู้คีบตุ๊กตาในประเทศไทย แข่งขันกันในด้านต่างๆ ดังนี้
ทำเลที่ตั้ง : ตู้คีบตุ๊กตามักตั้งอยู่ในสถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน เช่น ห้างสรรพสินค้า แหล่งท่องเที่ยว และศูนย์การค้า ผู้ประกอบการจึงต้องแข่งขันกันเพื่อให้ได้ทำเลที่ตั้งที่ดีที่สุด
ราคา : ราคาสินค้าในตู้คีบตุ๊กตามักมีตั้งแต่หลักสิบถึงหลักร้อยบาท ผู้ประกอบการจึงต้องแข่งขันกันเพื่อให้ได้ราคาสินค้าที่คุ้มค่าต่อลูกค้า
ความหลากหลาย : สินค้าในตู้คีบตุ๊กตามักเป็นสินค้ายอดนิยม เช่น ตุ๊กตา โมเดล ของเล่น และแกดเจ็ตต่างๆ ผู้ประกอบการจึงต้องแข่งขันกันเพื่อให้มีสินค้าหลากหลายให้เลือกซื้อ
ความดึงดูดของสินค้า : สินค้าในตู้คีบตุ๊กตามักเป็นสินค้าที่มีการออกแบบหรือลวดลายที่น่ารัก ผู้ประกอบการจึงต้องแข่งขันกันเพื่อให้มีสินค้าที่มีความดึงดูดใจต่อลูกค้า
แนวโน้มของธุรกิจตู้คีบตุ๊กตาในประเทศไทย มีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคในทุกเพศทุกวัย นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังเริ่มปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น การนำระบบการจองตู้คีบผ่านแอปพลิเคชันมาใช้ซึ่้งช่วยให้เข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น
สำหรับมูลค่าเศรษฐกิจของธุรกิจตู้คีบตุ๊กตาทั่วโลกนั้น ยังไม่ได้มีการเปิดเผยตัวเลขอย่างเป็นทางการ แต่จากการประเมินของผู้เชี่ยวชาญ คาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 10 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี โดยประเทศที่เป็นเจ้าใหญ่สุด ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน และสหรัฐอเมริกา
ขณะที่ในประเทศไทย ธุรกิจตู้คีบตุ๊กตาเริ่มได้รับความนิยมในช่วงปลายทศวรรษ 1980 ตู้คีบตุ๊กตามักตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้า แหล่งท่องเที่ยว และศูนย์การค้า ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคในทุกเพศทุกวัย ในปัจจุบัน ธุรกิจตู้คีบตุ๊กตา อ้างอิงจากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ มีมูลค่าเศรษฐกิจประมาณ 1,000 ล้านบาทต่อปี โดยผู้ประกอบการส่วนใหญ่เป็นรายย่อยและขนาดย่อม
และจากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่า รายได้เฉลี่ยของผู้ประกอบการตู้คีบตุ๊กตาในประเทศไทย อยู่ที่ประมาณ 100,000 บาทต่อเดือน
ตัวอย่างรายได้ของผู้ประกอบการตู้คีบตุ๊กตาในประเทศไทย
-ผู้ประกอบการที่มีตู้คีบ 10 ตู้ ทำเลที่ตั้งในห้างสรรพสินค้า ราคาสินค้าเฉลี่ย 10 บาท และสินค้ามีความนิยมสูง อาจมีรายได้ประมาณ 100,000 บาทต่อเดือน
-ผู้ประกอบการที่มีตู้คีบ 20 ตู้ ทำเลที่ตั้งในแหล่งท่องเที่ยว ราคาสินค้าเฉลี่ย 20 บาท และสินค้ามีความนิยมสูง อาจมีรายได้ประมาณ 200,000 บาทต่อเดือน
ส่วนในแง่การลงทุนเชิงธุรกิจที่หวังผลจริงจังนั้น การลงทุนขั้นต่ำของธุรกิจตู้คีบตุ๊กตา ควรอยู่ที่ประมาณ 100,000 บาท โดยค่าใช้จ่ายหลัก ได้แก่
ค่าตู้คีบ : ตู้คีบตุ๊กตามีราคาตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป (เว้นแต่เช่า หรือเป็นของมือสอง)
ค่าเช่าพื้นที่ : ค่าเช่าพื้นที่สำหรับตั้งตู้คีบตุ๊กตา ขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้ง
ค่าสินค้า : สินค้าในตู้คีบตุ๊กตามีราคาตั้งแต่ 10 บาทขึ้นไป
แต่ถ้าจะให้เป็นระดับมาตรฐาน ค่าเฉลี่ยการลงทุนของธุรกิจตู้คีบตุ๊กตาคารอยู่ที่ประมาณ 500,000 บาทขึ้นไปโดยการลงทุนส่วนใหญ่จะอยู่ที่ค่าตู้คีบและค่าเช่าพื้นที่
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเติบโตของธุรกิจตู้คีบตุ๊กตาในประเทศไทย ได้แก่
-การเติบโตของเศรษฐกิจและรายได้ของผู้บริโภค
-กระแสความนิยมของสินค้าต่างๆ เช่น ตุ๊กตา โมเดล ของเล่น และแกดเจ็ต
-การพัฒนาของเทคโนโลยีสมัยใหม่
ธุรกิจตู้คีบตุ๊กตาในประเทศไทย แข่งขันกันในด้านต่างๆ ดังนี้
ทำเลที่ตั้ง : ตู้คีบตุ๊กตามักตั้งอยู่ในสถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน เช่น ห้างสรรพสินค้า แหล่งท่องเที่ยว และศูนย์การค้า ผู้ประกอบการจึงต้องแข่งขันกันเพื่อให้ได้ทำเลที่ตั้งที่ดีที่สุด
ราคา : ราคาสินค้าในตู้คีบตุ๊กตามักมีตั้งแต่หลักสิบถึงหลักร้อยบาท ผู้ประกอบการจึงต้องแข่งขันกันเพื่อให้ได้ราคาสินค้าที่คุ้มค่าต่อลูกค้า
ความหลากหลาย : สินค้าในตู้คีบตุ๊กตามักเป็นสินค้ายอดนิยม เช่น ตุ๊กตา โมเดล ของเล่น และแกดเจ็ตต่างๆ ผู้ประกอบการจึงต้องแข่งขันกันเพื่อให้มีสินค้าหลากหลายให้เลือกซื้อ
ความดึงดูดของสินค้า : สินค้าในตู้คีบตุ๊กตามักเป็นสินค้าที่มีการออกแบบหรือลวดลายที่น่ารัก ผู้ประกอบการจึงต้องแข่งขันกันเพื่อให้มีสินค้าที่มีความดึงดูดใจต่อลูกค้า
แนวโน้มของธุรกิจตู้คีบตุ๊กตาในประเทศไทย มีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคในทุกเพศทุกวัย นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังเริ่มปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น การนำระบบการจองตู้คีบผ่านแอปพลิเคชันมาใช้ซึ่้งช่วยให้เข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น