Wealth Sharing
KBank Private Banking เผยกลยุทธ์ลงทุนช่วงโค้งสุดท้ายของปี แนะกระจายลงทุน “หุ้น ตราสารหนี้ สินทรัพย์ทางเลือก”
05 ตุลาคม 2566
KBank Private Banking เผยกลยุทธ์ลงทุนช่วงโค้งสุดท้ายของปี หลังคาดอัตราดอกเบี้ยผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ยังเชื่อมั่นในการกระจายการลงทุน แนะนักลงทุนจัดสรรเงินลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ สินทรัพย์ทางเลือก ตลอดจนสินทรัพย์นอกตลาด
นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Executive Chairman, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า “ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ถือเป็นอีกไมล์สโตน สำหรับการลงทุน โดยในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2566 ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ Fed ได้ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาตลอด 18 เดือนที่ผ่านมา ในการประชุม 11 ครั้ง เช่นเดียวกับธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB ที่เดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องเพราะแม้เงินเฟ้อลดลงแต่ยังสูงกว่าเป้าหมาย นอกจากนั้นตั้งแต่ต้นปีเศรษฐกิจโลกได้เผชิญความผันผวนจากหลายเหตุการณ์สำคัญๆ อาทิ วิกฤตธนาคารในสหรัฐฯ และยุโรป ไม่ว่าจะเป็น การปิดตัวลงของ Silicon Valley Bank และ UBS ต้องเข้าซื้อกิจการของ Credit Suisse ในฝั่งของจีนก็ได้สร้างความผิดหวังให้ตลาดหลังเปิดประเทศแล้วยังไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ ส่วนประเทศไทยบ้านเราก็มีรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่คาดว่าจะมาพร้อมกับมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ ส่งผลให้บางช่วงของปีดัชนีตลาดหุ้นโลก (MSCI All Country World Index) ได้ปรับขึ้นไปถึง +15% แต่ ณ ปัจจุบันได้มีการปรับตัวลงมาบ้างอยู่ที่ +10%”
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจโลกพบว่าภาคการผลิตของโลกอยู่ในแนวโน้มหดตัว ขณะที่ภาคบริการแม้ยังขยายตัวได้แต่ลดลงมากเป็นผลสะสมมาจากการขึ้นดอกเบี้ยอย่างเร็วและแรงในปี 2565-2566
ด้านนางสาวศิริพร สุวรรณการ Senior Managing Director, Financial Advisory Head, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า “KBank Private Banking ยังเชื่อมั่นในการกระจายการลงทุน โดยแนะนำจัดพอร์ตการลงทุนแบบ Core & Satellites โดยเงินลงทุนส่วนใหญ่ (Core portfolio) 50-70% ของเงินลงทุนให้ลงทุนในกองทุนผสมแบบ Risk-based ที่กระจายลงทุนในสินทรัพย์หลักทั่วโลกผ่านกองทุน ALL ROADS Series ที่ใช้การจัดการลงทุนอย่างเป็นระบบ มีกฎเกณฑ์ชัดเจน ไม่ขึ้นกับการคาดการณ์ของตลาดหรือผู้จัดการกองทุน และเงินลงทุนส่วนเสริม (Satellites portfolio) 30-50% ของเงินลงทุนให้ลงทุนตามสถานการณ์ของเศรษฐกิจและตลาดทุน โดยจัดสรรเงินลงทุนในทั้งหุ้น ตราสารหนี้ พร้อมทั้งกระจายลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกทั้ง Hedge Funds ตลอดจนสินทรัพย์นอกตลาด ทั้งนี้เรายังมีเงินสดอยู่เป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตเพื่อรอเข้าลงทุนในอนาคต”
โดย KBank Private Banking มีมุมมองและคำแนะนำการลงทุนในแต่ละสินทรัพย์ ดังนี้
· หุ้น: มีมุมมองบวกมากขึ้น จากข้อมูลทางสถิติพบว่าในไตรมาส 4 ของปี ตลาดหุ้นโลกมักให้ผลตอบแทนเป็นบวก และเมื่อ Fed ขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้าย ตลาดหุ้นทุกประเทศให้ผลตอบแทนเป็นบวกหลังจากนั้นเป็นเวลา 12 เดือน โดยธนาคารฯ แนะนำลงทุนในหุ้นที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง โดยกระจายไปทั่วโลกไม่ได้กระจุกตัวแค่ในสหรัฐฯ เช่น หุ้นที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน หุ้นเทคโนโลยี และยังคงมีมุมมองบวกต่อการลงทุนในหุ้นเอเชีย โดยเฉพาะหุ้นจีน และหุ้นไทยที่มีความเสี่ยงขาลงค่อนข้างจำกัด
· ตราสารหนี้: ประเมินว่าบอนด์ยีลด์ทั่วโลกเข้าใกล้จุดสูงสุด ดังนั้นการลงทุนในตราสารหนี้ต่อจากนี้มีแนวโน้มให้ผลตอบแทนดี ได้ทั้งผลตอบแทนจากดอกเบี้ยที่ให้อยู่ในระดับสูง และมีโอกาสได้ผลตอบแทนจากราคาที่เพิ่มขึ้นหากบอนด์ยีลด์ปรับลงในระยะข้างหน้า โดยแนะนำลงทุนในกองทุนที่กระจายลงทุนในตราสารหนี้หลายประเภททั้งพันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้บริษัทเอกชน โดยกองทุนมีกลยุทธ์มีการปรับอายุของตราสารเชิงรุกให้เหมาะสมกับสถานการณ์
· สินทรัพย์ทางเลือก: มองว่าปีนี้ถือเป็นโอกาสทองในการเข้าลงทุนในหุ้นนอกตลาด เพราะจากข้อมูลในอดีตพบว่าการเริ่มลงทุนในหุ้นนอกตลาดในปีที่มีวิกฤต การลงทุนในหุ้นนอกตลาดมักให้ผลตอบแทนที่โดดเด่นเมื่อเทียบกับการลงทุนในหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ หลังจากที่ลงทุนไปแล้ว 7 ปี และยังแนะนำเติมเต็มพอร์ตการลงทุนด้วยกองทุน Hedge funds ในหลายหลายกลยุทธ์เพื่อกระจายความเสี่ยงของพอร์ตโดยรวม
นายจิรวัฒน์ กล่าวในตอนท้ายว่า “เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนและผันผวนสูง KBank Private Banking ในฐานะที่ปรึกษาด้านการลงทุนยังคงคำแนะนำให้นักลงทุนให้ความสำคัญกับการจัดพอร์ตการลงทุนแบบ Core & Satellites และการกระจายความเสี่ยง ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของกลยุทธ์การลงทุนที่แนะนำมาโดยตลอด”
นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Executive Chairman, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า “ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ถือเป็นอีกไมล์สโตน สำหรับการลงทุน โดยในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2566 ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ Fed ได้ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาตลอด 18 เดือนที่ผ่านมา ในการประชุม 11 ครั้ง เช่นเดียวกับธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB ที่เดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องเพราะแม้เงินเฟ้อลดลงแต่ยังสูงกว่าเป้าหมาย นอกจากนั้นตั้งแต่ต้นปีเศรษฐกิจโลกได้เผชิญความผันผวนจากหลายเหตุการณ์สำคัญๆ อาทิ วิกฤตธนาคารในสหรัฐฯ และยุโรป ไม่ว่าจะเป็น การปิดตัวลงของ Silicon Valley Bank และ UBS ต้องเข้าซื้อกิจการของ Credit Suisse ในฝั่งของจีนก็ได้สร้างความผิดหวังให้ตลาดหลังเปิดประเทศแล้วยังไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ ส่วนประเทศไทยบ้านเราก็มีรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่คาดว่าจะมาพร้อมกับมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ ส่งผลให้บางช่วงของปีดัชนีตลาดหุ้นโลก (MSCI All Country World Index) ได้ปรับขึ้นไปถึง +15% แต่ ณ ปัจจุบันได้มีการปรับตัวลงมาบ้างอยู่ที่ +10%”
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจโลกพบว่าภาคการผลิตของโลกอยู่ในแนวโน้มหดตัว ขณะที่ภาคบริการแม้ยังขยายตัวได้แต่ลดลงมากเป็นผลสะสมมาจากการขึ้นดอกเบี้ยอย่างเร็วและแรงในปี 2565-2566
ด้านนางสาวศิริพร สุวรรณการ Senior Managing Director, Financial Advisory Head, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า “KBank Private Banking ยังเชื่อมั่นในการกระจายการลงทุน โดยแนะนำจัดพอร์ตการลงทุนแบบ Core & Satellites โดยเงินลงทุนส่วนใหญ่ (Core portfolio) 50-70% ของเงินลงทุนให้ลงทุนในกองทุนผสมแบบ Risk-based ที่กระจายลงทุนในสินทรัพย์หลักทั่วโลกผ่านกองทุน ALL ROADS Series ที่ใช้การจัดการลงทุนอย่างเป็นระบบ มีกฎเกณฑ์ชัดเจน ไม่ขึ้นกับการคาดการณ์ของตลาดหรือผู้จัดการกองทุน และเงินลงทุนส่วนเสริม (Satellites portfolio) 30-50% ของเงินลงทุนให้ลงทุนตามสถานการณ์ของเศรษฐกิจและตลาดทุน โดยจัดสรรเงินลงทุนในทั้งหุ้น ตราสารหนี้ พร้อมทั้งกระจายลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกทั้ง Hedge Funds ตลอดจนสินทรัพย์นอกตลาด ทั้งนี้เรายังมีเงินสดอยู่เป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตเพื่อรอเข้าลงทุนในอนาคต”
โดย KBank Private Banking มีมุมมองและคำแนะนำการลงทุนในแต่ละสินทรัพย์ ดังนี้
· หุ้น: มีมุมมองบวกมากขึ้น จากข้อมูลทางสถิติพบว่าในไตรมาส 4 ของปี ตลาดหุ้นโลกมักให้ผลตอบแทนเป็นบวก และเมื่อ Fed ขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้าย ตลาดหุ้นทุกประเทศให้ผลตอบแทนเป็นบวกหลังจากนั้นเป็นเวลา 12 เดือน โดยธนาคารฯ แนะนำลงทุนในหุ้นที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง โดยกระจายไปทั่วโลกไม่ได้กระจุกตัวแค่ในสหรัฐฯ เช่น หุ้นที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน หุ้นเทคโนโลยี และยังคงมีมุมมองบวกต่อการลงทุนในหุ้นเอเชีย โดยเฉพาะหุ้นจีน และหุ้นไทยที่มีความเสี่ยงขาลงค่อนข้างจำกัด
· ตราสารหนี้: ประเมินว่าบอนด์ยีลด์ทั่วโลกเข้าใกล้จุดสูงสุด ดังนั้นการลงทุนในตราสารหนี้ต่อจากนี้มีแนวโน้มให้ผลตอบแทนดี ได้ทั้งผลตอบแทนจากดอกเบี้ยที่ให้อยู่ในระดับสูง และมีโอกาสได้ผลตอบแทนจากราคาที่เพิ่มขึ้นหากบอนด์ยีลด์ปรับลงในระยะข้างหน้า โดยแนะนำลงทุนในกองทุนที่กระจายลงทุนในตราสารหนี้หลายประเภททั้งพันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้บริษัทเอกชน โดยกองทุนมีกลยุทธ์มีการปรับอายุของตราสารเชิงรุกให้เหมาะสมกับสถานการณ์
· สินทรัพย์ทางเลือก: มองว่าปีนี้ถือเป็นโอกาสทองในการเข้าลงทุนในหุ้นนอกตลาด เพราะจากข้อมูลในอดีตพบว่าการเริ่มลงทุนในหุ้นนอกตลาดในปีที่มีวิกฤต การลงทุนในหุ้นนอกตลาดมักให้ผลตอบแทนที่โดดเด่นเมื่อเทียบกับการลงทุนในหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ หลังจากที่ลงทุนไปแล้ว 7 ปี และยังแนะนำเติมเต็มพอร์ตการลงทุนด้วยกองทุน Hedge funds ในหลายหลายกลยุทธ์เพื่อกระจายความเสี่ยงของพอร์ตโดยรวม
นายจิรวัฒน์ กล่าวในตอนท้ายว่า “เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนและผันผวนสูง KBank Private Banking ในฐานะที่ปรึกษาด้านการลงทุนยังคงคำแนะนำให้นักลงทุนให้ความสำคัญกับการจัดพอร์ตการลงทุนแบบ Core & Satellites และการกระจายความเสี่ยง ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของกลยุทธ์การลงทุนที่แนะนำมาโดยตลอด”