Wealth Sharing
“QTC” ปักธง 4 ปีรายได้ทะยานแตะ 2 พันลบ. คาดปี 66 เติบโต 10-20% จากรุกธุรกิจหม้อแปลงฯ-โซลาร์-EV
13 กุมภาพันธ์ 2566
นายพูลพิพัฒน์ ตันธนสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ QTC ผู้ผลิตและจำหน่ายหม้อแปลงไฟฟ้าตามคำสั่งซื้อของลูกค้า (Made to Order) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2565 ที่ผ่านมา ถือเป็นปีที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก แม้จะเป็นปีที่ยากลำบาก เนื่องจากมีอุปสรรคและข้อจำกัดในการดำเนินงานหลายเรื่อง แต่บริษัทฯก็สามารถสร้างรายได้รวมเติบโต จนทำสถิติสูงสุดใหม่ (New High) ที่ระดับ 1,237 ล้านบาท เติบโต 4% จากปีก่อน และมีกำไรสุทธิที่ 15.84 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นสัดส่วนรายได้ธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้า 800 ล้านบาท และเป็นสัดส่วนรายได้จากธุรกิจเทรดดิ้ง ภายใต้การเป็นตัวแทนจำหน่ายโซลาร์เซลล์ให้กับ LONGI Solar การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Huawei Solar Inverter 400 ล้านบาท สำหรับสาเหตุที่ผลประกอบการดีขึ้น หลักๆ มาจากการเติบโตของธุรกิจโซลาร์เซลล์ ขณะที่ธุรกิจหลัก (Core Business) อย่างการผลิตและจำหน่ายหม้อแปลงไฟฟ้ายังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ในปี 2565 ที่ผ่านมา ธุรกิจโซลาร์ เติบโตสูงที่ระดับเกือบ 40% จากปี 2564 ซึ่งแม้ว่า Core Business จะยังคงเติบโต แต่ธุรกิจโซลาร์ มีอัตราการเติบโตที่สูงกว่า เนื่องจากเป็นธุรกิจที่อยู่ในเทรนด์ธุรกิจเติบโต หนุนให้ภาพรวมรายได้ทั้งปีเติบโตขึ้น ซึ่งในปี 2565 บริษัทฯ มีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจโซลาร์ ประมาณ 30% ของรายได้รวม ขณะที่สัดส่วนรายได้หลักจากธุรกิจผลิตและจำหน่ายหม้อแปลงไฟฟ้า ประมาณ 70% ของรายได้รวม
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติเสนอผู้ถือหุ้นอนุมัติจ่ายปันผลงวดปี 2565 (ม.ค.-ธ.ค.65) ในอัตราหุ้นละ 0.20 บาท รวมเป็นเงินปันผล ทั้งหมดประมาณ 68,218,511.40 บาท โดยวันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) วันที่ 11 เม.ย. 2566 และวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 10 เม.ย. 2566 เพื่อดำเนินการจ่ายปันผลในวันที่ 26 เม.ย. 2566
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้วางเป้าหมายสัดส่วนรายได้ภายใน 4 ปี (2566-2569) ที่ระดับเกิน 2,000 ล้านบาท โดยมาจากธุรกิจโซลาร์ และธุรกิจผลิตและจำหน่ายหม้อแปลงไฟฟ้า 50:50 ซึ่งธุรกิจผลิตและจำหน่ายหม้อแปลงไฟฟ้ายังคงเติบโตที่ประมาณ 20-30%
สำหรับทิศทางการดำเนินงานในปี 2566 บริษัทฯ วางเป้าหมายรายได้รวมจะเติบโตที่ประมาณ 10-20% จากปีก่อน โดยกลยุทธ์หลักยังคงเดินหน้าตามแผนยุทธศาสตร์เชิงรุก ภายใต้แนวคิด “Superior Long-term Performance” หรือการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน จาก 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่
1. Core Business คือการเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายหม้อแปลงไฟฟ้า โดยในปี 2566 บริษัทมีแผนออกเดินสายโรดโชว์ทั้งภายในและภายนอกประเทศอย่างเต็มที่เพื่อกระตุ้นการรับรู้ให้กับลูกค้า
2. ธุรกิจเทรดดิ้ง ภายใต้การเป็นตัวแทนจำหน่ายโซลาร์เซลล์ โดยบริษัทฯ จะดำเนินการด้วยการเป็นตัวแทนจำหน่ายโซลาร์เซลล์ให้กับ LONGI Solar, Trina Solar, การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Huawei Solar Inverter ซึ่งปีนี้จะมีการทำการตลาดเชิงรุกมากยิ่งขึ้น เพื่อยกระดับการให้บริการที่ครบวงจร เนื่องจากเล็งเห็นว่าผู้ประกอบการขนาดกลางให้ความสำคัญในการติดตั้งแผงโซลาร์บนหลังคาเพิ่มขึ้น
3. ธุรกิจ future business (ธุรกิจในอนาคต) คือธุรกิจสถานีอัดประจุไฟฟ้า (EV Charging Station) ที่บริษัทฯ ได้เริ่มลงทุน โดยปัจจุบันมีการติดตั้งสถานีชาร์จ จำนวน 2 แห่ง และอยู่ระหว่างการพิจารณาขยายการลงทุนเพิ่ม นอกจากนี้ บริษัทฯ กำลังมองหาธุรกิจอื่นๆ ด้านพลังงานทดแทนเพิ่ม เพื่อเข้ามาเสริมพอร์ตสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต
นายพูลพิพัฒน์ กล่าวอีกว่า สำหรับแนวโน้มของอุตสาหกรรมหม้อแปลงไฟฟ้าในปี2566 มีทิศทางที่สดใส ด้วยผู้ประกอบการในกลุ่ม FDI ที่กลับมาลงทุนในประเทศไทยและภาครัฐให้การสนับสนุนการลงทุนในด้านพลังงานสะอาดมากขึ้นด้วย ปัจจุบัน QTC เป็นผู้ผลิตหม้อแปลง Super Low Loss ซึ่งมีคุณสมบัติประหยัดพลังงาน จาก No Load Loss ได้สูงสุดถึง 80% และได้รับการยอมรับจากองค์กรในประเทศ และต่างประเทศ จึงเป็นปัจจัยผลักดันให้ธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้าเติบโตขึ้นด้วยเช่นกัน ในขณะที่ธุรกิจโซลาร์ ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่อยู่ในเทรนด์ธุรกิจเติบโต คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 15-20% อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น บริษัทจึงเชื่อว่าธุรกิจโซลาร์จะเป็นตัวขับเคลื่อน QTC ในปีต่อๆไป
“อย่างไรก็ตาม จากการปรับกลยุทธ์รองรับการเติบโตของธุรกิจแบบเชิงรุกข้างต้นนั้น เชื่อว่าภายใน 4 ปีข้างหน้า สัดส่วนรายได้จากธุรกิจดังกล่าวจะปรับตัวขึ้นมาอยู่ระดับ 50% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนรายได้ที่ 30% และธุรกิจการจำหน่ายหม้อแปลงไฟฟ้าจะอยู่ที่ระดับ 50% จากปัจจุบันอยู่ที่ 70% ขณะที่ธุรกิจ EV Charging ยังคงต้องใช้เวลาทำตลาดตามปริมาณของจำนวนรถไฟฟ้าที่จะเพิ่มขึ้นในระยะยาว”
ในปี 2565 ที่ผ่านมา ธุรกิจโซลาร์ เติบโตสูงที่ระดับเกือบ 40% จากปี 2564 ซึ่งแม้ว่า Core Business จะยังคงเติบโต แต่ธุรกิจโซลาร์ มีอัตราการเติบโตที่สูงกว่า เนื่องจากเป็นธุรกิจที่อยู่ในเทรนด์ธุรกิจเติบโต หนุนให้ภาพรวมรายได้ทั้งปีเติบโตขึ้น ซึ่งในปี 2565 บริษัทฯ มีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจโซลาร์ ประมาณ 30% ของรายได้รวม ขณะที่สัดส่วนรายได้หลักจากธุรกิจผลิตและจำหน่ายหม้อแปลงไฟฟ้า ประมาณ 70% ของรายได้รวม
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติเสนอผู้ถือหุ้นอนุมัติจ่ายปันผลงวดปี 2565 (ม.ค.-ธ.ค.65) ในอัตราหุ้นละ 0.20 บาท รวมเป็นเงินปันผล ทั้งหมดประมาณ 68,218,511.40 บาท โดยวันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) วันที่ 11 เม.ย. 2566 และวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 10 เม.ย. 2566 เพื่อดำเนินการจ่ายปันผลในวันที่ 26 เม.ย. 2566
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้วางเป้าหมายสัดส่วนรายได้ภายใน 4 ปี (2566-2569) ที่ระดับเกิน 2,000 ล้านบาท โดยมาจากธุรกิจโซลาร์ และธุรกิจผลิตและจำหน่ายหม้อแปลงไฟฟ้า 50:50 ซึ่งธุรกิจผลิตและจำหน่ายหม้อแปลงไฟฟ้ายังคงเติบโตที่ประมาณ 20-30%
สำหรับทิศทางการดำเนินงานในปี 2566 บริษัทฯ วางเป้าหมายรายได้รวมจะเติบโตที่ประมาณ 10-20% จากปีก่อน โดยกลยุทธ์หลักยังคงเดินหน้าตามแผนยุทธศาสตร์เชิงรุก ภายใต้แนวคิด “Superior Long-term Performance” หรือการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน จาก 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่
1. Core Business คือการเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายหม้อแปลงไฟฟ้า โดยในปี 2566 บริษัทมีแผนออกเดินสายโรดโชว์ทั้งภายในและภายนอกประเทศอย่างเต็มที่เพื่อกระตุ้นการรับรู้ให้กับลูกค้า
2. ธุรกิจเทรดดิ้ง ภายใต้การเป็นตัวแทนจำหน่ายโซลาร์เซลล์ โดยบริษัทฯ จะดำเนินการด้วยการเป็นตัวแทนจำหน่ายโซลาร์เซลล์ให้กับ LONGI Solar, Trina Solar, การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Huawei Solar Inverter ซึ่งปีนี้จะมีการทำการตลาดเชิงรุกมากยิ่งขึ้น เพื่อยกระดับการให้บริการที่ครบวงจร เนื่องจากเล็งเห็นว่าผู้ประกอบการขนาดกลางให้ความสำคัญในการติดตั้งแผงโซลาร์บนหลังคาเพิ่มขึ้น
3. ธุรกิจ future business (ธุรกิจในอนาคต) คือธุรกิจสถานีอัดประจุไฟฟ้า (EV Charging Station) ที่บริษัทฯ ได้เริ่มลงทุน โดยปัจจุบันมีการติดตั้งสถานีชาร์จ จำนวน 2 แห่ง และอยู่ระหว่างการพิจารณาขยายการลงทุนเพิ่ม นอกจากนี้ บริษัทฯ กำลังมองหาธุรกิจอื่นๆ ด้านพลังงานทดแทนเพิ่ม เพื่อเข้ามาเสริมพอร์ตสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต
นายพูลพิพัฒน์ กล่าวอีกว่า สำหรับแนวโน้มของอุตสาหกรรมหม้อแปลงไฟฟ้าในปี2566 มีทิศทางที่สดใส ด้วยผู้ประกอบการในกลุ่ม FDI ที่กลับมาลงทุนในประเทศไทยและภาครัฐให้การสนับสนุนการลงทุนในด้านพลังงานสะอาดมากขึ้นด้วย ปัจจุบัน QTC เป็นผู้ผลิตหม้อแปลง Super Low Loss ซึ่งมีคุณสมบัติประหยัดพลังงาน จาก No Load Loss ได้สูงสุดถึง 80% และได้รับการยอมรับจากองค์กรในประเทศ และต่างประเทศ จึงเป็นปัจจัยผลักดันให้ธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้าเติบโตขึ้นด้วยเช่นกัน ในขณะที่ธุรกิจโซลาร์ ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่อยู่ในเทรนด์ธุรกิจเติบโต คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 15-20% อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น บริษัทจึงเชื่อว่าธุรกิจโซลาร์จะเป็นตัวขับเคลื่อน QTC ในปีต่อๆไป
“อย่างไรก็ตาม จากการปรับกลยุทธ์รองรับการเติบโตของธุรกิจแบบเชิงรุกข้างต้นนั้น เชื่อว่าภายใน 4 ปีข้างหน้า สัดส่วนรายได้จากธุรกิจดังกล่าวจะปรับตัวขึ้นมาอยู่ระดับ 50% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนรายได้ที่ 30% และธุรกิจการจำหน่ายหม้อแปลงไฟฟ้าจะอยู่ที่ระดับ 50% จากปัจจุบันอยู่ที่ 70% ขณะที่ธุรกิจ EV Charging ยังคงต้องใช้เวลาทำตลาดตามปริมาณของจำนวนรถไฟฟ้าที่จะเพิ่มขึ้นในระยะยาว”