By.พูเมซ่า
ภาพรวมตลาดหุ้นไทยต้นเดือนตุลาคม 2566 ดัชนียังคงแกว่งตัวและยังไม่สามารถปรับขึ้นมายืนเหนือระดับ 1,500 จุดขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังคงเทขาย บล.เอเซียพลัส ระบุว่า การสู้รบกันระหว่างประเทศระหว่างอิสราเอล-กลุ่มฮามาสที่รุนแรงอยู่ แต่เหมือนไม่ขยายวงกว้างสู่ประเทศอื่นอย่างที่นักลงทุนกังวลไว้ จึงทำให้เม็ดเงินทยอยไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงอย่างตลาดหุ้น และหนุน Dollar Index ชะลอการแข็งค่า ทำให้ค่าเงินบาททยอยแข็งค่า และลุ้นเป็นปัจจัยบวกต่อ Flow ต่างชาติให้ไหลเข้า SET Index ระยะถัดไป
ช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยผันผวนมาก และยังปรับขึ้นได้น้อยกว่าหลายๆ ประเทศ แต่ปัจจุบันแรงกดดันเริ่มลดน้อยลง ทั้งจากประเด็นในประเทศอิสราเอล และค่าเงินบาทมีการผลิกกลับมาแข็งค่ามากเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ
กลยุทธ์การลงทุนเพื่อการเพิ่มความมั่นใจในการลงทุน แนะนำพิถีพิถันในการคัดเลือกหุ้น ที่มีพื้นฐานหนุนทั้งในระยะสั้น กลาง ยาว โดยฝ่ายวิจัยฯ ทำการค้นหาผ่านข้อมูลของ Bloomberg Consensus โดยเลือกหุ้นใน SET50 ที่มีแนวโน้มกำไร 3Q66 เติบโตทั้ง QoQ และ YoY รวมถึงหุ้นที่ถูกปรับประมาณการขึ้นในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาและหากนำหุ้นทั้ง 2 ส่วนที่ทับซ้อนกัน จะได้หุ้นที่แนวโน้มกำไร 3Q66 โตทั้ง QoQ และ YoY รวมถึงยังมีการปรับราคาเป้าหมายขึ้นด้วย ไดแก่ DELTA, WHA, TOP, COM7, BH, ADVANC, BDMS, CBG, BEM, SAWAD
จากการสำรวจข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในส่วนโครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัท บี จิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือB ล่าสุด ณ วันที่ 18 กันยายน 2566 และนำมาเปรียบเทียบกับรายชื่อผู้ถือหุ้นในครั้งก่อน พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงในส่วนของผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับ 6 และอันดับ7 โดยมี"ธนนนท์ เตรียมชาญชัย" ซึ่งเป็นบุตรของ"สุรพงษ์ เตรียมชาญชัย"ได้เข้ามาถือหุ้นจำนวน 800,000,000หุ้นคิดเป็น 3.30% จากเดิมที่ไม่เคยปรากฎรายชื่อเป็นผู้ถือหุ้น รวมทั้งมี "วริศ บูลกุล" กรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายสินทรัพย์ดิจิทัล บมจ.บรุ๊คเคอร์ กรุ๊ป (BROOK) เข้ามาถือหุ้น จำนวน 799,824,800 หุ้น คิดเป็น 3.30%จากเดิมไม่ปรากฏรายชื่อการถือครองหุ้นเช่นกัน
สำหรับพอร์ตลงทุนในตลาดหุ้นไทยของ "ธนนนท์ เตรียมชาญชัย" ได้มีการถือครองหุ้น 2 บริษัท ประกอบด้วย
หุ้น |
จำนวน(หุ้น) |
%การถือครอง |
B |
800,000,000 |
3.3 |
WAVE |
277,767,819 |
3.21 |
ขณะที่พอร์ตลงทุนในตลาดหุ้นไทยของ"วริศ บูลกุล"ได้มีการถือครองหุ้น 2 บริษัท ประกอบด้วย
หุ้น |
จำนวน(หุ้น) |
%การถือครอง |
B |
799,824,800 |
3.3 |
BROOK |
1,397,264,707 |
15 |
ทั้งนี้ หากพิจารณาข้อมูลของหุ้นB จะเห็นว่า ในช่วงต้นเดือนกันยายน 2566 คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทครั้งที่ 8 หรือ B-W8 จำนวนไม่เกิน 8,074 ล้านหน่วย จัดสรรให้ผู้ถือหุ้นเดิม ในอัตรา 3 หุ้นเดิม ต่อ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ โดยไม่คิดมูลค่า
ยังมีมติอนุมัติการลดทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ จำนวน 833.64 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียน 18,089.72 ล้านบาท โดยตัดหุ้นสามัญที่ยังไม่ได้ออกจำหน่ายจำนวน 1,225.95 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.68 บาท ซึ่งเป็นหุ้นสามัญที่ออกเพื่อรองรับการใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทครั้งที่ 6 (B-W6) ซึ่งพ้นจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน ตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคม 2566
พร้อมกันนี้คณะกรรมการบริษัท ยังได้มีมติอนุมัติการเพิ่มทุนของบริษัทฯ จำนวน 5,490.32 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่ 23,580.04 ล้านบาท โดยออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 8,074 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.68 บาท เพื่อรองรับการใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท ครั้งที่ 8 (B-W8) โดย B-W8 มีอัตราการใช้สิทธิ 1 หน่วย สามารถใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทได้ 1 หุ้น ในราคาใช้สิทธิหุ้นละ 0.10 บาท
ทั้งนี้คณะกรรมการบริษัท จะกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิ วันที่ 11 กันยายน 2566 (ขึ้น XW 8 ก.ย.) และกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิเข้าร่วมประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2566 ในวันเดียวกัน
นอกจากนี้ยังมีพิจารณาอนุมัติให้เปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้ (PAR)โดยการรวมมูลค่าที่ตราไว้ (รวม par)ซึ่งมูลค่าที่ตราไว้(Par) เดิมอยู่ที่ 0.68 บาทต่อหุ้น และเปลี่ยนเป็นมูลค่าที่ตราไว้(Par) ใหม่ 2.04 บาทต่อหุ้น ซึ่งทุกวาระได้ผ่านการพิจารณาจากในการประชุมผู้ถือหุ้นวันที่ 6 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมาเรียบร้อยแล้ว