Wealth Sharing

WINDOW เคาะไอพีโอ 2.10 บ. เปิดจองซื้อ 16-18 ต.ค.


16 ตุลาคม 2566
บมจ. วินโดว์ เอเชีย (WINDOW) เคาะราคาเสนอขายหุ้นไอพีโอ ไม่เกิน 244.20 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 2.10 บาท ระยะเวลาจองซื้อ วันที่ 16-18 ตุลาคม 2566 คาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)  ในหมวดธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง/วัสดุก่อสร้าง ภายในเร็วๆ นี้ หวังนำเงินระดมทุนครั้งนี้ ก่อสร้างอาคารโรงงานใหม่ - เงินทุนหมุนเวียน พร้อมชูจุดเด่น ผู้ผลิต-จำหน่ายผลิตภัณฑ์ประตูและหน้าต่างสำเร็จรูปเจ้าแรกที่นำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาด SET ที่มีศักยภาพการเติบโตแข็งแกร่ง
WINDOW เคาะไอพีโอ 2.10 บ.jpg
นางสาววีรยา ศรีวัฒนะ หัวหน้าฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน ของบริษัท วินโดว์ เอเชีย จำกัด (มหาชน) หรือ WINDOW ผู้ผลิตและจำหน่ายประตูหน้าต่างสำเร็จรูปอลูมิเนียมและยูพีวีซี เปิดเผยว่า WINDOW ได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) ของ WINDOW จำนวน 244.20 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 2.10 บาท กำหนดเปิดให้จองซื้อหุ้นในระหว่างวันที่ 16-18 ตุลาคม 2566 และคาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายในเร็วๆ นี้ ในหมวดธุรกิจ (Sector) อสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง/วัสดุก่อสร้าง  และใช้ชื่อย่อในการ ซื้อขาย คือ “WINDOW”
“WINDOW แต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด  ทำหน้าที่ผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย หรือ Lead Underwriter  หลัง WINDOW ได้ยื่นเสนอขายหุ้นไอพีโอ จำนวนรวมไม่เกิน 244.20 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท หรือคิดเป็นร้อยละ 27.5 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ เพื่อใช้เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ ซึ่งโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ ครอบครัวรัตนศิริวิไล ถือหุ้นรวม 98.68% และจะลดสัดส่วนหลัง IPO เหลือ 71.54%  ซึ่งการเข้าระดมทุนไอพีโอ ครั้งนี้ จะช่วยสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจ และสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนให้กับ WINDOW” นางสาววีรยา กล่าว 
พร้อมกันนี้ ได้แต่งตั้งผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 5 ราย บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ เอสบีไอ ไทย ออนไลน์ จำกัด, บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน),  บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด 
นางสาวเศรษฐลักษณ์ ณรงค์วโรดม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า จุดเด่นของหุ้น WINDOW คือ เป็นผู้ผลิต และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประตูและหน้าต่างสำเร็จรูปเจ้าแรกที่นำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ WINDOW ยังเป็นผู้นำด้านช่องทางการจัดจำหน่ายและเป็นผู้นำด้านการให้บริการ โดยวินโดว์ เอเชีย เป็นเจ้าแรกและเจ้าเดียว ที่กล้า รับประกันประตูและหน้าต่างตลอดอายุการใช้งาน 
ด้วยความพิถีพิถันและการเอาใจใส่ต่อการดำเนินงานในทุกขั้นตอนของทางบริษัทฯ จึงเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผลิตภัณฑ์เป็นที่ยอมรับในวงการอุตสาหกรรมว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความสวยงามและทันสมัย ผลิตจากกรรมวิธีที่ได้มาตรฐาน มีคุณภาพอยู่ในระดับสูง สามารถนำไปติดตั้งได้โดยง่าย และปลอดภัยต่อการใช้งาน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ทำให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ มีภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาของบุคคลภายนอก ส่งผลให้ลูกค้าและผู้บริโภคเกิดความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ 
สำหรับผลประกอบการในช่วงปี 2563-2565 บริษัทฯ มีรายได้รวม 747.50 ล้านบาท, 835.51 ล้านบาท และ 913.35 ล้านบาท ตามลำดับ มีกำไรขั้นต้น 220.33 ล้านบาท, 247.37 ล้านบาท และ 239.67 ล้านบาท ตามลำดับ และมีกำไรสุทธิ 73.10 ล้านบาท, 99.28 ล้านบาท และ 74.52 ล้านบาท ตามลำดับ 
ขณะที่ผลประกอบการช่วง 6 เดือนแรก ปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้รวม 526.88 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 42.05 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อนมีรายได้รวม 536.02 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 64.56 ล้านบาท
นอกจากนี้ WINDOW มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิจากงบเฉพาะกิจการภายหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และเงินสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายและข้อบังคับของบริษัท
นายธนินทร์ รัตนศิริวิไล กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วินโดว์ เอเชีย จำกัด (มหาชน) หรือ WINDOW กล่าวว่า บริษัทฯ วางเป้าหมายที่จะเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการผลิต และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประตูและหน้าต่างอย่างครบวงจร เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ 
สำหรับการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ลงทุนก่อสร้างอาคารโรงงานใหม่ และจัดซื้อ เครื่องจักร และเครื่องมือ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต เพิ่มพื้นที่ในการผลิตงานทั้งในส่วนของผลิตภัณฑ์ประเภทอลูมิเนียมและยูพีวีซี เพิ่มพื้นที่จัดเก็บสินค้าสำเร็จรูป และเพิ่มพื้นที่ในการจัดเตรียมงานจัดส่งสินค้า สำหรับรองรับการขยายตัวทางธุรกิจของบริษัทฯ ในอนาคต 2. ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และ 3. ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบกิจการ
“ปัจจุบัน WINDOW มีโรงงานอยู่ 1 แห่ง ตั้งอยู่ที่ 188/8 หมู่ 4 ตำบลปากแพรก อำเภอเมืองกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี โดยในช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ดำเนินการขยายกำลังการผลิต เพื่อรองรับปริมาณยอดขายของผลิตภัณฑ์แต่ละประเภทที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องตามความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น และเตรียมพร้อมสำหรับการเพิ่มสายการผลิตใหม่ไปยังผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องกับผลิตภัณฑ์เดิมของบริษัทฯ ในอนาคต เพื่อสร้างการเติบโตยั่งยืนให้กับธุรกิจ” นายธนินทร์ กล่าว
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566 ร้านค้าปลีกวัสดุก่อสร้างสมัยใหม่และร้านค้าปลีกวัสดุก่อสร้างแบบดั้งเดิมในทุกภูมิภาคของประเทศที่มีผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ วางจำหน่ายมีจำนวนรวมกันกว่า 653 แห่ง และสำหรับช่องทางการจัดจำหน่ายทางตรงนั้น บริษัทฯ ได้จัดตั้งร้านค้าวินโดว์ เอเชีย ซึ่งเป็นร้านค้าของตนเองที่มีจำนวน 42 สาขาทั่วประเทศในปัจจุบัน โดยบริษัทฯ ได้ดำเนินการเช่าพื้นที่ของโครงการของไดนาสตี้ ซึ่งเป็นสาขาของบริษัท ไดนาสตี้ เซรามิค จำกัด (มหาชน) ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดต่างๆ เพื่อเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในร้านค้าของตนเองและอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้บริโภคในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ มาใช้งาน ซึ่งบริษัทฯ มีแผนงานที่จะขยายสาขาร้านค้าวินโดว์ เอเชีย ให้ครบ 50 สาขา ภายในปี 2566
นอกจากนั้น ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ยังมีวางจำหน่ายผ่านร้านค้าวินโดว์ เอเชีย (“Window Asia Shop”) ซึ่งเป็นหน้าร้านของบริษัทฯ หรือช่องทางออนไลน์ (Online) ของบริษัทฯ บนแพลตฟอร์มที่หลากหลาย เช่น หน้าเว็บไซต์ (Website) เฟซบุ๊ก (Facebook) บัญชีไลน์ ออฟฟิเชียล (LINE Official Account) ลาซาด้า (Lazada)   ช้อปปี้ (Shopee) และน็อคน็อค (NocNoc) เป็นต้น 
นายธนินทร์ กล่าวทิ้งท้ายว่า การเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ครั้งนี้  เสริมสร้างภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือให้กับ WINDOW เพราะการเข้าจดทะเบียนต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และมาตรฐานต่างๆ รวมทั้งมีการเปิดเผยข้อมูลที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ ทำให้ WINDOW รวมถึงผลิตภัณฑ์หรือบริการของบริษัท เป็นที่รู้จักของสาธารณชนมากขึ้น ส่งผลเชิงบวกทำให้เกิดการเป็นที่รู้จักในแวดวงธุรกิจมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ยังเพิ่มโอกาสในการหาและเข้าร่วมลงทุนจากพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งจะสนับสนุนการขยายตัวและเพิ่มความแข็งแกร่งทางธุรกิจ