จับประเด็นหุ้นเด่น

รายงานพิเศษ : กยท. ชี้ยางดีมานด์พุ่ง ผลผลิตลด หนุนธุรกิจ TEGH โตแกร่ง


13 กุมภาพันธ์ 2566
สถานการณ์ราคายางปรับตัวดีขึ้นคาดขยายตัว 5% จากการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์และถุงมือยาง หนุนธุรกิจ บมจ.ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (TEGH) ขยายตัวแข็งแกร่ง  ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้เติบโตกว่า 10% 
กยท ชี้ยางดีมานด์พุ่ง130223.jpg
น.ส.อธิวีณ์ แดงกนิษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐกิจยาง  การยางแห่งประเทศไทย(กยท.) กล่าวว่า Association of Natural Rubber Production Countries (ANRPC) ซึ่งเป็นสมาคมประเทศผู้ผลิตยางธรรมชาติ คาดปริมาณการใช้จะอยู่ที่ 15.563 ล้านตัน มีการขยายตัวอยู่ที่ 5% ตามความต้องการตลาดโลกที่คาดว่าอุตสาหกรรมยานยนต์โลกและอุตสาหกรรมถุงมือยางเติบโตสูงขึ้น ถือเป็นปัจจัยบวกต่อราคายางโลก ขณะที่ คาดปริมาณผลผลิตยางโลกมีประมาณ 14.310 ล้านตัน เนื่องจากปัญหาขาดแคลนแรงงาน โรคระบาด และการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (climate change) 
          
สำหรับสถานการณ์ยางของไทยไตรมาสที่ 1/66 คาดว่า ผลผลิตมีแนวโน้มลดลง หลังเดือนม.ค.ที่ผ่านมาลดลงกว่าที่คาดไว้ 26% เนื่องจากสภาพอากาศที่มีฝนตกชุกต่อเนื่องตั้งแต่เดือนม.ค. และสถานการณ์ระบาดของโรคใบร่วง จึงทำให้เข้าสู่ฤดูปิดกรีดยางเร็วขึ้นกว่าปีก่อน
         
ส่วนปริมาณการส่งออกยางของไทยในปี 66 จะอยู่ที่ประมาณ 4.403 ล้านตัน ลดลงจากปีก่อน เนื่องจากการใช้ยางในประเทศขยายตัวสูงขึ้น 9.9% หรือมีปริมาณใช้ยางประมาณ 1.040 ล้านตัน  
           
ราคายางที่ปรับตัวสูงขึ้นในปีนี้ ส่งผลต่อบมจ.ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (TEGH)  ที่มีรายได้หลักมาจาการธุรกิจยาง โดย กรรมการผู้จัดการ TEGH  “สินีนุช โกกนุทาภรณ์”  กล่าวถึงแผนธุรกิจปี 66 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตมากกว่า 10% จากปีก่อน โดยสัดส่วนรายได้จาก 3 ธุรกิจหลักจะใกล้เคียงกับที่ผ่านมา คือ ธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติ 75%, ธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ 24% และธุรกิจด้านผลิตพลังงานทดแทนและการบริหารจัดการกากอินทรีย์และธุรกิจอื่นๆ เช่น ธุรกิจร่วมทุนและธุรกิจโลจิสติกส์ 1%  แต่ประเมินว่ากลุ่มธุรกิจน้ำมันปาล์มดิบจะสามาถพลิกมาทำกำไรได้จากการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและพลังงานทดแทนจะมีทิศทางที่ดีจะดีขึ้น จากการขยายกำลังการผลิต 

สำหรับแผนธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติปีนี้ บริษัทฯมีแผนเพิ่มกำลังการผลิตยางแท่งอีก 130,000 ตัน/ปี จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิต 320,000 ตัน/ปี คาดว่าจะ COD ได้ในปี 2567 ซึ่งกลยุทธ์จะยังคงเน้นการผลิตสินค้าเกรดพรีเมี่ยมและจะให้ความสำคัญกับสินค้ามาตรฐานความยั่งยืน (FSC) ที่ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าได้ โดยวอลุ่มขายยางแท่ง FSC เติบโตขึ้นและมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันมีลูกค้าทำสัญญาตลอดทั้งปีแล้ว 
         
นอกจากนี้ บริษัทฯมีแผนขยายฐานลูกค้ากลุ่มยางแท่งไปยังตลาดอินเดียและจีนมากขึ้น จากปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาดในอินเดียอยู่ที่ 10% และจีน อยู่ที่ 8% โดยคาดว่าในปีนี้จะมีลูกค้ารายใหม่ได้ตามเป้า เนื่องจากกลุ่มประเทศดังกล่าวมีดีมานด์สูง โดยในช่วงต้นปีเริ่มมีสัญญาณที่ดีจากลูกค้าและราคายางแท่งที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นผลจากจีนเปิดประเทศ และตลาดรถยนต์ EV ที่เติบโตขึ้นทั้งในและต่างประเทศ ส่งผลดีต่อสินค้ายางแท่ง ซึ่งตั้งเป้าสัดส่วนการส่งออกของกลุ่มธุรกิจยางยังคงเป็นในประเทศ 50% และต่างประเทศ 50% 
          
ส่วนธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ บริษัทฯคาดว่าปีนี้จะกลับมาเทิร์นอะราวด์ หลังจากโครงการติดตั้ง Boiler ลูกใหม่จะแล้วเสร็จในไตรมาส 4/66 ซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพการผลิตดีขึ้น โดยคาดปริมาณการขายน่าจะเติบโตขึ้นจากปีก่อน และความสามารถในการทำกำไรจะดีขึ้นจากตัวเลขเปอร์เซ็นต์การสกัดน้ำมันปาล์มดิบ (%OER) ที่สูงขึ้น โดยกลุ่มฐานลูกค้ายังคงเหมือนเดิม แต่บริษัทฯจะเพิ่มธุรกรรมซื้อมาขายไปมากขึ้น เพื่อรองรับการขยายกำลังการผลิตในอนาคต 
          
"ขณะที่ธุรกิจด้านผลิตพลังงานทดแทนและการบริหารจัดการกากอินทรีย์ คาดว่ารายได้จะเติบโตขึ้น จากโครงการขยายกำลังการผลิตก๊าซชีวภาพ ระยะที่ 1 ที่คาดว่าจะ COD ได้ในช่วงต้นไตรมาส 1/66 ซึ่งจะสามารถรับกากอินทรีย์ได้เพิ่มขึ้นอีกวันละ 300 ตัน ทำให้บริษัทฯ มีความสามารถในการรับบริหารจัดการกากอินทรีย์ รวมเป็น 720,000 ตันต่อปี และผลิตก๊าซชีวภาพได้เพิ่มขึ้นอีกวันละ 30,000 ลูกบาศก์เมตร  ทำให้กำลังการผลิตก๊าซชีวภาพรวมเพิ่มเป็น 34 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี" นางสาวสินีนุช กล่าว