Gossip Station..by เจ๊จิ๋ม

เจ๊จิ๋ม..สายเถื่อน 20-10-23


20 ตุลาคม 2566
เจ๊จิ๋ม..สายเถื่อน 20-10-23

20-10-23 สวัสดีพี่น้องชาวไทย "เจ๊จิ๋ม" มารายงานตัว ณ ที่เก่าเวลาเดิม www.share2trade.com เปิดอ่านได้เลยเวลา 7.30 น.มีเรื่องเด็ดๆ โดนๆ มาเม้าท์กันให้สนั่นวงการลงทุนของพวกเรากันเถอะ   

***สวัสดีวันศุกร์-วันทำการสุดท้ายของสัปดาห์นี้ จากนั้นพักยาว 3 วันก่อนจะกลับมาพบกันอีกทีอังคารหน้าค่ะแฟนคลับข๋า ภาพโดยรวมของ SEY INDEX ก้อยังเหวี่ยงขึ้น-ลงค่อนข้างแรง มีรายงานจากกูรูหุ้น KCS  บอกว่าทีมกลยุทธ์ได้ทำการศึกษาผลกระทบของสงครามรัสเซีย-ยูเครน ในปี 2022 ต่อดัชนีตลาดหุ้น 5 ดัชนี รวมถึงไทย (จุดเริ่มต้นวันที่ 24 ก.พ. 2022 ที่รัสเซียทำการบุกยูเครน) และนำมาเปรียบเทียบกับกรณี สงครามอิสราเอล-ฮามาส (จุดเริ่มต้นวันที่ 7 ต.ค. 2023) ด้วย สมมติฐานว่าภาวะสงครามมีความสัมพันธ์เชิงลบกับผลตอบแทนของ ตลาดหุ้น โดยใช้วิธีวัดความสนใจของโลกออนไลน์ในประเด็น ดังกล่าวผ่านการค้นหา Keyword สำคัญ ได้แก่ Russia, Vladimir Putin, Israel จากเว็บไซต์ Wikipedia (ข้อมูลจาก https://www.wikishark.com/) เพื่อประเมินช่วงเวลาที่คนทั่วโลกให้ ความสนใจต่อประเด็นดังกล่าว (ใช้เป็นตัวแทนความสนใจของนักลงทุน ในตลาดหุ้นโลก) 

***พบว่าตลาดให้ความสนใจต่อความเสี่ยงสงครามรัสเซีย-ยูเครน ราว 4 สัปดาห์ ก่อนที่การค้นหาจาก Keyword สำคัญ (ใช้คำว่า Russia และ Vladimir Putin) จะเข้าสู่ระดับปกติก่อนการเข้าบุก ยูเครนของรัสเซียในวันที่ 24 ก.พ. 2022  

*** ผลตอบแทนของ 5 ดัชนีที่นำมาศึกษา ได้แก่ MSCI ACWI, MSCI EU, MSCI EM, S&P500 และ SET Index พบว่ามีแนวโน้มปรับตัวลง ในช่วง 2 สัปดาห์แรก หลังเหตุการณ์ (24 ก.พ. 2022) และเริ่มฟื้นตัว ในช่วงสัปดาห์ที่ 3 และ 4 สถิติดังกล่าวสะท้อนว่าตลาดใช้เวลาราว 2 สัปดาห์ในการซึมซับปัจจัยลบ  และหากเข้าลงทุนในดัชนีทั้ง 5 หลัง เกิดเหตุการณ์ได้ 2 สัปดาห์ พบว่าให้ผลตอบแทนเป็นบวกดีที่สุดในช่วง 2 สัปดาห์ และ 1 เดือนหลังการเข้าซื้อ โดยผลตอบแทนเฉลี่ย 2%4.5% และ 2.5%-5.8% 

*** เมื่อเปรียบเทียบจำนวน การค้นหา Keyword สำคัญ ระหว่างกรณีสงครามรัสเซีย-ยูเครน (ใช้ Keyword: Russia, Vladimir Putin) และ อิสราเอล-ฮามาส (ใช้ Keyword: Israel) พบว่าในสัปดาห์ที่ 2 ปริมาณการค้นหาลดลงมาเหลือราว 30-40% จากจุดสูงสุดคล้ายคลึงกัน ภาพดังกล่าวสะท้อนว่าช่วงเวลาที่ตลาดให้ความสนใจกับประเด็นสงครามอิสราเอล-ฮามาส อาจใกล้เคียงกับสงครามรัสเซีย-ยูเครน หรือราว ๆ 4 สัปดาห์  

***KCS ได้แนะนำกลยุทธ์ว่าเมื่อเปรียบเทียบความคล้ายคลึงกันระหว่าง 2 เหตุการณ์สงครามล่าสุด คาดว่าผลกระทบเชิงลบต่อตลาดหุ้นโลกจาก ภาวะสงครามในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสจะรุนแรงที่สุดในสัปดาห์นี้ (13-20 ต.ค. 2023) ก่อนที่จะค่อยๆ น้อยลงในสัปดาห์ถัดไป ในกรณีที่ไม่มีพัฒนาการเชิงลบที่สำคัญเกิดขึ้น เนื่องจากความสนใจต่อประเด็นดังกล่าวที่ค่อยๆ จางลง ปลายสัปดาห์นี้น่าจะเป็น โอกาสในการเข้าลงทุน โดยคาดหวังผลตอบแทนในช่วง 2-2.5% สำหรับตลาดหุ้นไทยจากการถือครอง 2 สัปดาห์ ถึง 1 เดือน แนะนำหุ้นเด่น ประจำเดือน ต.ค. นี้  AOT, CPALL, ERW, GULF, IVL, SCGP, TOP 

***ส่วนภาพใหญ่ของตลาดหุ้นไทยปัจจุบันมีค่า PBV 1.4 เท่า เป็นโซนลงทุน และ จากผลการศึกษาในอดีตเมื่อ SET แตะระดับดังกล่าวในอดีต ย้อนหลังตั้งแต่ปี 2008 ทีมกลยุทธ์พบว่า SET แตะระดับดังกล่าว 3 ครั้ง   SET มักฟื้นตัวเด่นหลังแตะระดับ PBV 1.4 เท่า โดยหากซื้อลงทุนและถือครอง 3 เดือน (+7.9%) 6 เดือน (+6.1%) 9 เดือน (+ 20.9%) 12 เดือน (+31.2%) 

***เข้าสู่ฤดูกาลประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 ของกลุ่มแบงก์แล้ว เมื่อวาน 3 แบงก์ใหญ่ไม่ทำให้ผิดหวัง
-BBL สุดสวยไตรมาส 3/66 มีกำไรสุทธิ  11,349 ลบ. เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3/65 ที่ทำได้ 7,656 ล้านบาท ส่วนงวด 9 เดือนปีนี้มีกำไรสุทธิ 32,772 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 21,736 ล้านบาท
-KTB ก้อโดดเด่นเช่นกัน ไตรมาส 3/66 มีกำไรสุทธิ 10,282 ลบ. เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3/65 ที่ทำได้ 8,449 ล้านบาท ส่วนงวด 9 เดือนปีนี้มีกำไรสุทธิ 30,504 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 25,588 ล้านบาท
-BAY ไตรมาส 3/66 มีกำไรสุทธิ   8,095 ลบ. เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาส 3/65 ที่ทำได้ 8,069  ล้านบาท ส่วนงวด 9 เดือนปีนี้มีกำไรสุทธิ 25,197  ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 23,321 ล้านบาท