Smart Investment

2 รายใหญ่ขายหุ้น CHAYO สัดส่วนถือต่ำสุดรอบ 3 ปี


25 ตุลาคม 2566

ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในเดือนตุลาคม2566 ดัชนีผันผวนแรงจากความกังวลของปัจจัยสงครามระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์จะรุกลามบานปลายมากน้อยแค่ไหนทำให้บรรยากาศการลงทุนยังไม่น่าสนใจ โดยบล.เอเซียพลัส ระบุว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยเริ่มเห็น Momentum เคลื่อนย้ายเม็ดเงินจากหุ้นที่ขึ้นมา แรงสลับมาหุ้นที่ปรับตัวลงมาลึก สังเกตได้จากกลุ่มหุ้นที่ปรับตัวขึ้นได้ดีในวานนี้ (24 ต.ค. 66) ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มหุ้นที่ปรับตัวลงมาลึกในปีนี้ อาทิ กลุ่ม MEDIA, CONS, FIN, COMM, FOOD, PETRO เป็นต้น ขณะเดียวกันหุ้นที่ Outperform ตลาดมานาน ก็เริ่มถูกขายทำกำไรเช่นกัน อาทิ กลุ่ม BANK ICT เป็นต้น

smart invest “สุระ-พงศ์ศักดิ์” รินขายหุ้น CHAYO ต่อเนื.jpg

ในอีกมุมหนึ่งเพื่อหลบความผันผวนของตลาด แนะนำมีหุ้นปันผลเด่นติดพอร์ตน่าจะ ช่วยลดความผันผวนให้พอร์ตได้ดี ฝ่ายวิจัยฯ จึงทำการค้นหาหุ้นปันผลเด่น Sector ละ 1 บริษัท ที่มีการจ่ายสม่ำเสมอตลอด 5 ปีผ่านมา ได้ผลลัพธ์ หุ้นปันผลเด่นที่น่าทยอยสะสม คือ SIRI, SAT, TISCO, TASCO, TOP, PYLON, MAJOR, M, JMT, ADVANC, HMPRO, PTTGC

ทั้งนี้จากการรวบรวมข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยของคู่หูนักลงทุนรายใหญ่ชื่อดังที่มักจะนิยมลงทุนในหุ้นตัวเดียวกันอย่าง น.พ. พงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี และสุระ คณิตทวีกุล ซึ่งล่าสุดเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2566  พบว่า บริษัท ชโย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CHAYO ซึ่งเป็นหนึ่งในหุ้นที่มีนักลงทุนรายใหญ่พร้อมใจเข้ามาถือหุ้นหลายราย โดยบริษัทฯดังกล่าวได้ปิดสมุดทะเบียนรายชื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่ล่าสุด จะเห็นว่า น.พ. พงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี และสุระ คณิตทวีกุล ได้ลดสัดส่วนการถือครองหุ้นละอย่างเห็นได้ชัด

โดยน.พ. พงศ์ศักดิ์ ล่าสุดถือหุ้น 19,850,842 หุ้นคิดเป็น 1.78% เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับการปิดสมุดทะเบียนรายชื่อในครั้งก่อนเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2566 ยังถือหุ้น 23,338,542 หุ้น คิดเป็น 2.09% ขณะที่สุระ คณิตทวีกุล ล่าสุดถือหุ้น 16,094,021 หุ้น คิดเป็น 1.44% จากเดิมที่เคยถือ 18,141,229 หุ้นคิดเป็น 1.63%

ขณะที่นักลงทุนรายใหญ่อย่าง ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา ยังคงสัดส่วนการถือครองหุ้นในระดับเท่าเดิม 71,251,933 หุ้นคิดเป็น6.39% ซึ่งยังรักษาตำแหน่งผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 ไว้อย่างเหนียวแน่น

สำหรับโครงสร้างผู้ถือหุ้น CHAYO ณ 10 ตุลาคม 2566 ประกอบด้วย

รายชื่อ

จำนวน(หุ้น)

%การถือครอง

สุขสันต์ ยศะสินธุ์

369,680,482

33.16

ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา

71,251,933

6.39

ฤทธิรงค์ บุญมีโชติ

38,938,411

3.49

สมยศ มั่นนิธิวรกุล

31,700,000

2.84

ณัฐวัช ยศะสินธุ์

28,280,109

2.54

สุภา สุพรรณธะริดา

20,000,000

1.79

น.พ. พงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี

19,850,842

1.78

วราณี เสรีวิวัฒนา

18,755,469

1.68

สุระ คณิตทวีกุล

16,094,021

1.44

บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด

14,474,817

1.3

นอกจากนี้หากพิจารณาข้อมูลการถือครองหุ้นของนักลงทุนรายใหญ่ทั้งสองคน ย้อนหลังไปราว 3 ปี พบว่า การทยอยรินขายหุ้น เพื่อลดสัดส่วนการลงทุนในครั้งนี้ ถือว่าเป็นการถือครองหุ้นต่ำสุดในรอบ 3 ปี และคงต้องจับตาดูกันต่อไปว่ารายใหญ่ทั้งสองคนจะยังคงถือหุ้นCHAYO ต่อไปอีกหรือไม่

รายชื่อ

% ถือครองปี66

% ถือครองปี65

% ถือครองปี64

พงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี

1.78

3.38

3.36

สุระ คณิตทวีกุล

1.44

1.99

2.36


สำหรับการเคลื่อนไหวราคาหุ้นCHAYO ในรอบเดือนตุลาคม 2566 พบว่า ราคาหุ้นปรับลดลงมาราว 15.22% จากราคา 6.90 บาท ลงมาอยู่ที่ 5.85 บาทและเคยปรับขึ้นไปสูงสุดที่ 7 บาท และต่ำสุดที่ 5.70 บาท

ขณะเดียวกัน บล.ดาโอ (ประเทศไทย)ได้เผยแพร่บทวิเคราะห์ ระบุคงคำแนะนำ “ซื้อ” และราคาเป้าหมาย 8.00 บาท อิง 2023E PBV ที่ 1.9x (-1.25 SD below 5-yr average PBV) เราประเมินกำไรสุทธิ 3Q23E จะอ่อนตัว QoQ เล็กน้อยที่ 87 ล้านบาท (+141% YoY, -6% QoQ) จากการเข้าซื้อกองหนี้เสียเพิ่มขึ้น ขณะที่ยังกดดันจากค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ทั้งต้นทุนทางการเงินที่เพิ่ม และค่าใช้จ่ายสำรองที่มากขึ้น ตามสัดส่วนการเข้าซื้อกองหนี้ unsecured ที่เพิ่มขึ้นสูงตั้งแต่ปลายปี 2022เราคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2023E ที่ 384 ล้านบาท (+53% YoY) และปี 2024E ที่ 420 ล้านบาท (+9% YoY) จากการเข้าซื้อหนี้เสียเพิ่มขึ้นเป็นปีละ 2.0 พันล้านบาท

โดยเราประเมินว่าบริษัทจะเข้าซื้อหนี้เสียเพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่ใน 4Q23E ตามการขายหนี้เสียของสถาบันการเงินที่เพิ่มขึ้นหลังการสิ้นสุดมาตรการช่วยเหลือในปี 2023ราคาหุ้น underperform SET -12% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา จากความกังวลต่อความความสามารถในการจ่ายชำระหนี้ของลูกหนี้ที่อาจชะลอตัว, การขายทรัพย์ NPA ขนาดใหญ่ที่ล่าช้า โดยเฉพาะทรัพย์พังงาที่มีโอกาสเลื่อนการรับรู้กำไรต่อเนื่องเป็น 1H24E (เดิมคาด 2H23E) และแนวโน้มต้นทุนทางการเงินที่จะยังอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตามเราคงแนะนำ “ซื้อ” จากผลการดำเนินงาน 4Q23E ที่จะเริ่มกลับมาดีขึ้น ตาม cash collection และขนาดกองหนี้เสียที่เพิ่ม รวมทั้งราคาปัจจุบันยังเทรดต่ำเพียง 2023E PBV 1.5x (-1.5 SD)