ค่ายมาร์เวล ( Marvel Entertainment, LLC) เป็นค่ายสร้างหนังสัญชาติอเมริกันที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีผลงานเป็นที่จดจำให้กับวงการภาพยนตร์มากมายจนมีฐานแฟนคลับเหนียวแน่นทั่วโลก โดยกลยุทธ์การตลาดที่มาร์เวลใช้นั้น เน้นการสร้างความแตกต่างให้กับภาพยนตร์ของตน เช่น การนำเสนอภาพยนตร์ในจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล (MCU) การให้ความสำคัญกับตัวละครและเรื่องราว และการเปิดตัวภาพยนตร์ในหลากหลายแนว
กลยุทธ์การตลาดแบบ "สร้างความแตกต่าง" ของมาร์เวลประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยภาพยนตร์ของมาร์เวลหลายเรื่องประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลายและทำรายได้ทะลุพันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตัวอย่างเช่น ในปี 2019 ภาพยนตร์เรื่อง "Avengers: Endgame" ของมาร์เวลทำรายได้ทะลุ 2,797 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดตลอดกาล
"สร้างความแตกต่าง" ของมาร์เวลสามารถอธิบายได้ด้วยทฤษฎีการสร้างความแตกต่าง (Differentiation Theory) ในการตลาด ซึ่งระบุว่า องค์กรสามารถสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันได้โดยการนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการที่แตกต่างจากคู่แข่ง โดยกลยุทธ์การตลาดแบบ "สร้างความแตกต่าง" ของมาร์เวลนั้น เน้นการสร้างความแตกต่างให้กับภาพยนตร์ของตนใน 3 ด้านหลัก ดังนี้
-การสร้างความแตกต่างด้านเนื้อหา-
มาร์เวลได้สร้างจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล (MCU) ซึ่งเป็นจักรวาลภาพยนตร์ที่เชื่อมโยงภาพยนตร์ทุกเรื่องเข้าด้วยกัน กลยุทธ์นี้ทำให้ภาพยนตร์ของมาร์เวลมีความน่าสนใจและน่าติดตามมากขึ้น เนื่องจากผู้ชมสามารถติดตามเรื่องราวและตัวละครต่าง ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง
-การสร้างความแตกต่างด้านตัวละคร-
มาร์เวลให้ความสำคัญกับตัวละครและเรื่องราวในภาพยนตร์ของตน มาร์เวลมีทีมพัฒนาตัวละครและเรื่องราวที่มีคุณภาพสูง ซึ่งสามารถสร้างตัวละครและเรื่องราวที่ดึงดูดใจผู้ชมได้
-การสร้างความแตกต่างด้านแนว-
มาร์เวลได้เปิดตัวภาพยนตร์ในหลากหลายแนว เช่น แอ็กชัน แฟนตาซี ไซไฟ และตลก กลยุทธ์นี้ทำให้มาร์เวลสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ชมที่หลากหลายมากขึ้น
กลยุทธ์การตลาดของมาร์เวลมีความแตกต่างจากกลยุทธ์การตลาดแบบ "ชิงไหวชิงพริบ" ที่ค่ายหนังใหญ่ๆ อื่นๆ นิยมใช้เป็นกลยุทธหลักๆ เช่นดิสนีย์และวอร์เนอร์บราเธอร์ส
กลยุทธ์แบบชิงไหวชิงพริบเน้นการเปิดตัวภาพยนตร์ในช่วงเวลาเดียวกันกับภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ของคู่แข่ง เพื่อดึงดูดผู้ชมให้สนใจภาพยนตร์ของตน อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์นี้อาจทำให้ภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องต้องแย่งชิงฐานผู้ชมและรายได้จากกันและกัน
กลยุทธ์การตลาดแบบนี้ สามารถใช้ได้กับภาพยนตร์ที่มีฐานผู้ชมที่ใกล้เคียงกัน หรือภาพยนตร์ที่มีกระแสตอบรับที่ดี อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์นี้ควรใช้อย่างระมัดระวัง เนื่องจากอาจทำให้ภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องไม่ได้รับความสนใจจากผู้ชมอย่างเต็มที่
กลยุทธ์การตลาดแบบ "ชิงไหวชิงพริบ" เน้นการดึงดูดความสนใจจากผู้ชมในวงกว้าง ในขณะที่กลยุทธ์การตลาดแบบ "บุกตลาดใหม่" นั้นเน้นการขยายฐานผู้ชมไปยังกลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ
แม้จะปฏิเสธได้ยากว่า บางที หรือหลายครั้งมาร์เวล ก็มีการชิงไหวชิงพริบเช่นกัน แต่ภาพที่ออกมาของกลยุทธ์เน้นการตลาดแบบ "สร้างความแตกต่าง" ที่มาร์เวลนั้นได้เน้นการนำเสนอภาพยนตร์แตกต่างและน่าสนใจ กลยุทธ์นี้ทำให้ภาพยนตร์ของมาร์เวลสามารถดึงดูดผู้ชมได้อย่างกว้างขวาง สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันและประสบความสำเร็จในธุรกิจภาพยนตร์ระดับโลก โดยไม่จำเป็นที่จะต้องแข่งขันกับภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ของคู่แข่งมากนัก
กลยุทธ์การตลาดแบบ "สร้างความแตกต่าง" ของมาร์เวลประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยภาพยนตร์ของมาร์เวลหลายเรื่องประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลายและทำรายได้ทะลุพันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตัวอย่างเช่น ในปี 2019 ภาพยนตร์เรื่อง "Avengers: Endgame" ของมาร์เวลทำรายได้ทะลุ 2,797 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดตลอดกาล
"สร้างความแตกต่าง" ของมาร์เวลสามารถอธิบายได้ด้วยทฤษฎีการสร้างความแตกต่าง (Differentiation Theory) ในการตลาด ซึ่งระบุว่า องค์กรสามารถสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันได้โดยการนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการที่แตกต่างจากคู่แข่ง โดยกลยุทธ์การตลาดแบบ "สร้างความแตกต่าง" ของมาร์เวลนั้น เน้นการสร้างความแตกต่างให้กับภาพยนตร์ของตนใน 3 ด้านหลัก ดังนี้
-การสร้างความแตกต่างด้านเนื้อหา-
มาร์เวลได้สร้างจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล (MCU) ซึ่งเป็นจักรวาลภาพยนตร์ที่เชื่อมโยงภาพยนตร์ทุกเรื่องเข้าด้วยกัน กลยุทธ์นี้ทำให้ภาพยนตร์ของมาร์เวลมีความน่าสนใจและน่าติดตามมากขึ้น เนื่องจากผู้ชมสามารถติดตามเรื่องราวและตัวละครต่าง ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง
-การสร้างความแตกต่างด้านตัวละคร-
มาร์เวลให้ความสำคัญกับตัวละครและเรื่องราวในภาพยนตร์ของตน มาร์เวลมีทีมพัฒนาตัวละครและเรื่องราวที่มีคุณภาพสูง ซึ่งสามารถสร้างตัวละครและเรื่องราวที่ดึงดูดใจผู้ชมได้
-การสร้างความแตกต่างด้านแนว-
มาร์เวลได้เปิดตัวภาพยนตร์ในหลากหลายแนว เช่น แอ็กชัน แฟนตาซี ไซไฟ และตลก กลยุทธ์นี้ทำให้มาร์เวลสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ชมที่หลากหลายมากขึ้น
กลยุทธ์การตลาดของมาร์เวลมีความแตกต่างจากกลยุทธ์การตลาดแบบ "ชิงไหวชิงพริบ" ที่ค่ายหนังใหญ่ๆ อื่นๆ นิยมใช้เป็นกลยุทธหลักๆ เช่นดิสนีย์และวอร์เนอร์บราเธอร์ส
กลยุทธ์แบบชิงไหวชิงพริบเน้นการเปิดตัวภาพยนตร์ในช่วงเวลาเดียวกันกับภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ของคู่แข่ง เพื่อดึงดูดผู้ชมให้สนใจภาพยนตร์ของตน อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์นี้อาจทำให้ภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องต้องแย่งชิงฐานผู้ชมและรายได้จากกันและกัน
กลยุทธ์การตลาดแบบนี้ สามารถใช้ได้กับภาพยนตร์ที่มีฐานผู้ชมที่ใกล้เคียงกัน หรือภาพยนตร์ที่มีกระแสตอบรับที่ดี อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์นี้ควรใช้อย่างระมัดระวัง เนื่องจากอาจทำให้ภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องไม่ได้รับความสนใจจากผู้ชมอย่างเต็มที่
กลยุทธ์การตลาดแบบ "ชิงไหวชิงพริบ" เน้นการดึงดูดความสนใจจากผู้ชมในวงกว้าง ในขณะที่กลยุทธ์การตลาดแบบ "บุกตลาดใหม่" นั้นเน้นการขยายฐานผู้ชมไปยังกลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ
แม้จะปฏิเสธได้ยากว่า บางที หรือหลายครั้งมาร์เวล ก็มีการชิงไหวชิงพริบเช่นกัน แต่ภาพที่ออกมาของกลยุทธ์เน้นการตลาดแบบ "สร้างความแตกต่าง" ที่มาร์เวลนั้นได้เน้นการนำเสนอภาพยนตร์แตกต่างและน่าสนใจ กลยุทธ์นี้ทำให้ภาพยนตร์ของมาร์เวลสามารถดึงดูดผู้ชมได้อย่างกว้างขวาง สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันและประสบความสำเร็จในธุรกิจภาพยนตร์ระดับโลก โดยไม่จำเป็นที่จะต้องแข่งขันกับภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ของคู่แข่งมากนัก