Wealth Sharing
"BVG" พร้อมเข้าเทรดใน mai 17 ก.พ. นี้ ชูเทคโนโลยี AI ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมประกันสู่ InsurTech
14 กุมภาพันธ์ 2566
นางนวรัตน์ วงศ์ฐิติรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูเวนเจอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BVG เปิดเผยว่า บริษัทฯ พร้อมนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ เป็นวันแรกในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 โดยใช้ชื่อย่อ ‘BVG’ ในการซื้อขายหลักทรัพย์ในหมวดอุตสาหกรรม ‘Tech’ หลังประสบความสำเร็จในการเสนอขายหุ้นสามัญจำนวนไม่เกิน 157.5 ล้านหุ้น ที่ราคาเสนอขาย 3.85 บาทต่อหุ้น ซึ่งได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก ด้วยพื้นฐานการดำเนินธุรกิจที่นำจุดแข็งด้านฐานข้อมูล (Big Data) มาใช้พัฒนาระบบการให้บริการตลอดห่วงโซ่คุณค่าด้วยดิจิทัลเทคโนโลยี เพื่อให้บริการระบบแพลตฟอร์มกลางในการจัดการธุรกิจให้แก่อุตสาหกรรมประกันภัยรถยนต์และประกันสุขภาพ ภายใต้ระบบ EMCS และ บริการ TPA ซึ่งช่วยยกระดับกระบวนการทำงานของอุตสาหกรรมประกัน ให้ก้าวสู่การเป็น InsurTech
ทั้งนี้ กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของ BVG จะมุ่งรักษาการเป็นผู้นำการให้บริการแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชั่นประกันภัยรถยนต์และสุขภาพ โดยนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการสินไหมตลอดห่วงโซ่คุณค่าของอุตสาหกรรมประกัน ได้แก่ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เข้ามาช่วยวิเคราะห์ประมวลผลเพื่อต่อยอดนวัตกรรมการให้บริการเพื่อยกระดับแพลตฟอร์มของ EMCS และ TPA ให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า ช่วยลดขั้นตอน ระยะเวลาและต้นทุนดำเนินการ พร้อมสร้างประสบการณ์การใช้บริการที่ดีให้แก่ผู้เอาประกัน ซึ่งบริษัทฯ มีแผนนำเสนอบริการจากเทคโนโลยี AI Series เพิ่มเติม ได้แก่ AI Estimate หรือระบบการประเมินความเสียหายเบื้องต้นตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุเพื่อประมาณการค่าสินไหม และ AI Inspection ที่จะช่วยบริษัทประกันภัยตรวจสภาพรถยนต์ในขั้นตอนการต่อกรมธรรม์ หลังประสบความสำเร็จจากการนำเสนอ AI Review ซึ่งช่วยประเมินความเสียหายในกระบวนการพิจารณาและอนุมัติซ่อมรถยนต์ ทั้งหมดนี้เพื่อผลักดันการเติบโตของรายได้จากการให้บริการระบบ EMSC ที่ดียิ่งขึ้น
ขณะที่บริการ TPA บริษัทฯ มีแผนจัดทำโครงการพัฒนาระบบ Optical Character Recognition ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงานโดยลดการใช้กระดาษ เพื่อรองรับการปรับตัวของธุรกิจโรงพยาบาลไปสู่ Digital Transformation และต่อยอดสู่การให้บริการ AI Claim Assessment Automation เพื่อพิจารณาค่าสินไหมโรคพื้นฐานได้อย่างถูกต้อง รองรับจำนวนผู้เอาประกันภัยและจำนวนรายการสินไหมทดแทนที่เพิ่มขึ้น
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BVG กล่าวว่า บริษัทฯ วางแผนขยายธุรกิจในภูมิภาคอาเซียน ผ่านโมเดลความร่วมมือกับพันธมิตรในประเทศเป้าหมายเพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุน โดยอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้เพื่อให้บริการ e-Claim และ M-Survey ของระบบ EMCS ไปยังประเทศเวียดนามและฟิลิปปินส์เพื่อขยายฐานลูกค้ารายใหม่ๆ รวมถึงจะร่วมมือกับพันธมิตรที่ดำเนินธุรกิจรับประกันภัยต่อในประเทศกัมพูชา เพื่อให้บริการแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชันสำหรับริหารจัดการสินไหมทดแทนรักษาพยาบาลของบริษัทประกันภัยและสวัสดิการรักษาพยาบาลของบริษัทเอกชน (บริการ TPA) ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนภายในปีนี้ จึงเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตที่ดีให้แก่ BVG ต่อไปในอนาคต
นางสาวพัชพร สรรคบุรานุรักษ์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า BVG ถือเป็นบริษัท Tech Company ที่มีศักยภาพการเติบโตสูงจากพื้นฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง โดยเป็นหนึ่งในผู้นำการให้บริการแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชันในการบริหารจัดการธุรกิจประกันภัยรถยนต์ด้วยระบบ EMCS และให้บริการจัดการสิทธิประโยชน์ด้านการรักษาพยาบาลและสินไหมทดแทน (บริการ TPA) ที่ให้บริการแบบครบวงจรครอบคลุมขั้นตอนการพิจารณาสินไหมของประกันภัยรถยนต์และประกันสุขภาพ นอกจากนี้ BVG ยังมีแผนพัฒนานำเทคโนโลยี AI มาให้บริการเพิ่มเติมรองรับปัจจัยการเติบโตของอุตสาหกรรมประกัน รวมถึงบริษัทฯ ยังมีแผนต่อยอดขยายธุรกิจไปยังกลุ่มประเทศในอาเซียน ซึ่งเป็น New S Curve ที่จะสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของ BVG จะมุ่งรักษาการเป็นผู้นำการให้บริการแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชั่นประกันภัยรถยนต์และสุขภาพ โดยนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการสินไหมตลอดห่วงโซ่คุณค่าของอุตสาหกรรมประกัน ได้แก่ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เข้ามาช่วยวิเคราะห์ประมวลผลเพื่อต่อยอดนวัตกรรมการให้บริการเพื่อยกระดับแพลตฟอร์มของ EMCS และ TPA ให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า ช่วยลดขั้นตอน ระยะเวลาและต้นทุนดำเนินการ พร้อมสร้างประสบการณ์การใช้บริการที่ดีให้แก่ผู้เอาประกัน ซึ่งบริษัทฯ มีแผนนำเสนอบริการจากเทคโนโลยี AI Series เพิ่มเติม ได้แก่ AI Estimate หรือระบบการประเมินความเสียหายเบื้องต้นตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุเพื่อประมาณการค่าสินไหม และ AI Inspection ที่จะช่วยบริษัทประกันภัยตรวจสภาพรถยนต์ในขั้นตอนการต่อกรมธรรม์ หลังประสบความสำเร็จจากการนำเสนอ AI Review ซึ่งช่วยประเมินความเสียหายในกระบวนการพิจารณาและอนุมัติซ่อมรถยนต์ ทั้งหมดนี้เพื่อผลักดันการเติบโตของรายได้จากการให้บริการระบบ EMSC ที่ดียิ่งขึ้น
ขณะที่บริการ TPA บริษัทฯ มีแผนจัดทำโครงการพัฒนาระบบ Optical Character Recognition ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงานโดยลดการใช้กระดาษ เพื่อรองรับการปรับตัวของธุรกิจโรงพยาบาลไปสู่ Digital Transformation และต่อยอดสู่การให้บริการ AI Claim Assessment Automation เพื่อพิจารณาค่าสินไหมโรคพื้นฐานได้อย่างถูกต้อง รองรับจำนวนผู้เอาประกันภัยและจำนวนรายการสินไหมทดแทนที่เพิ่มขึ้น
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BVG กล่าวว่า บริษัทฯ วางแผนขยายธุรกิจในภูมิภาคอาเซียน ผ่านโมเดลความร่วมมือกับพันธมิตรในประเทศเป้าหมายเพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุน โดยอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้เพื่อให้บริการ e-Claim และ M-Survey ของระบบ EMCS ไปยังประเทศเวียดนามและฟิลิปปินส์เพื่อขยายฐานลูกค้ารายใหม่ๆ รวมถึงจะร่วมมือกับพันธมิตรที่ดำเนินธุรกิจรับประกันภัยต่อในประเทศกัมพูชา เพื่อให้บริการแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชันสำหรับริหารจัดการสินไหมทดแทนรักษาพยาบาลของบริษัทประกันภัยและสวัสดิการรักษาพยาบาลของบริษัทเอกชน (บริการ TPA) ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนภายในปีนี้ จึงเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตที่ดีให้แก่ BVG ต่อไปในอนาคต
นางสาวพัชพร สรรคบุรานุรักษ์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า BVG ถือเป็นบริษัท Tech Company ที่มีศักยภาพการเติบโตสูงจากพื้นฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง โดยเป็นหนึ่งในผู้นำการให้บริการแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชันในการบริหารจัดการธุรกิจประกันภัยรถยนต์ด้วยระบบ EMCS และให้บริการจัดการสิทธิประโยชน์ด้านการรักษาพยาบาลและสินไหมทดแทน (บริการ TPA) ที่ให้บริการแบบครบวงจรครอบคลุมขั้นตอนการพิจารณาสินไหมของประกันภัยรถยนต์และประกันสุขภาพ นอกจากนี้ BVG ยังมีแผนพัฒนานำเทคโนโลยี AI มาให้บริการเพิ่มเติมรองรับปัจจัยการเติบโตของอุตสาหกรรมประกัน รวมถึงบริษัทฯ ยังมีแผนต่อยอดขยายธุรกิจไปยังกลุ่มประเทศในอาเซียน ซึ่งเป็น New S Curve ที่จะสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน