จับประเด็นหุ้นเด่น
รายงานพิเศษ : TEGH หุ้นมี Upside สูง-Q4กำไรฟื้นชัดเจน โบรกฯปรับคำแนะนำเป็น “ซื้อ”
14 พฤศจิกายน 2566
ผู้บริหาร บมจ.ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (TEGH) มั่นใจไตรมาส4 ผลงานดีขึ้นต่อเนื่อง จากราคายางที่ปรับเพิ่มขึ้น ขณะที่โบรกเกอร์ปรับคำแนะนำเป็น “ซื้อ” คาดแนวโน้มกำไร 4Q66 จะปรับตัวดีขึ้น
![รายงานพิเศษ TEGH.jpg](https://www.share2trade.com/storage/Coloum/%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%88%E0%B8%99/2023/November/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A9%20TEGH.jpg)
บล.ทรีนีตี้ วิเคราะห์หุ้น บมจ.ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (TEGH) โดยระบุว่า กำไร 3Q66 ดีขึ้นหลังขาดทุนจาก Fx ลดลง โดย TEGH ประกาศกำไร 3Q66 ที่ 40 ล้านบาท ดีขึ้น 1034%QoQ แต่อ่อนตัว 74%YoY ใกล้เคียงกับที่คาดไว้ก่อนหน้าที่ 43 ล้านบาท แม้ว่ารายได้รวมจะอ่อนตัวลง 1%QoQ และ 29%YoY โดยรายได้จากทั้งธุรกิจยางและปาล์มอ่อนตัวลง 1%QoQ หลังปริมาณขายยางแท่งและราคาขายทรงๆ ส่วนปริมาณขายน้ำยางข้นปรับตัวเพิ่มขึ้น และราคาขายอ่อนตัวลง
ส่วนปริมาณขายน้ำมันปาล์มดิบทรงๆ แต่ราคาขายปรับตัวลงตามภาวะตลาด ด้านอัตรากำไรขั้นต้นรวมปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจาก 8.6% ใน 2Q66 มาอยู่ที่ 8.9% โดยหลักคาดว่าเป็นผลจากต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวลงเล็กน้อยปัจจัยบวกหลักในไตรมาสนี้จึงมาจากผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ลดลงมาอยู่ที่ 12 ล้านบาท จาก 2Q66 ที่ 51 ล้านบาท
คาดแนวโน้มกำไร 4Q66 จะปรับตัวดีขึ้น QoQ จากแนวโน้มราคายางที่ปรับตัวดีขึ้น โดยราคายาง SICOM ได้ฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดที่ราว 142 Cent/Kg ในช่วงเดือน ส.ค. มาอยู่ที่ราว 171 Cent/Kg ในเดือน พ.ย. (เดือน ต.ค. ขึ้นไปสูงสุดที่ราว 175 Cent/Kg) สะท้อนความต้องการที่ฟื้นตัวระดับหนึ่ง นอกจากนี้บริษัทยังมีสัญญาส่งมอบ Biogas อีก 5 หมื่นตัน/วัน ซึ่งคาดว่าจะทำให้รายได้จากธุรกิจพลังงานทดแทนมาช่วยหนุนผลประกอบการ โดยเรายังคงคาดกำไรปี 2566-2567 254 ล้านบาท (-63%YoY) และ 412 ล้านบาท (+62%YoY) ตามลำดับ
เราให้ราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 3.80 บาท อิง PER 10 เท่า อย่างไรก็ตามราคาหุ้นที่อ่อนตัวลงค่อนข้างมากทำให้ Upside ยังสูง บวกกับทิศทางการฟื้นตัวของกำไรเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น เราจึงปรับคำแนะนำเป็น “ซื้อ” ส่วนความเสี่ยงที่ต้องติดตาม ได้แก่ ความผันผวนของราคายางและปาล์มน้ำมัน
ขณะที่นางสาวสินีนุช โกกนุทาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ TEGH ระบุแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/66 คาดว่าจะฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากราคายางที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยคาดการณ์แนวโน้มปริมาณขายยางแท่งในปีนี้ จะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ 200,000 ตัน โดย 9 เดือนแรกทำได้แล้ว 150,000 ตัน แบ่งเป็นสัดส่วนขายภายในประเทศ 52% และส่งออก 48%
นอกจากนี้ ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ได้ขยายการลงทุนเข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศไทยมากขึ้น รวมถึงผู้ผลิตยางล้อที่มีแผนเพิ่มกำลังการผลิตตามมาด้วย มองว่าจะสนับสนุนความต้องการการใช้ยางแท่งในประเทศให้ปรับตัวสูงขึ้น
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/66 ถือว่าเป็นไปตามแผนที่วางไว้ โดยเมื่อเทียบไตรมาส 2/66 กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้ใกล้เคียงเดิมที่ 3,001.70 ล้านบาท กำไรขั้นต้น อยู่ที่ 265.70 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.61 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2.55% และมีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 40.35 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36.80 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1,037.94 %
งวด 9 เดือนปีนี้ มีปริมาณขายยางแท่ง เพิ่มขึ้น 5.70% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการ 9,204.38 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิเท่ากับ 146.50 ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้ของแต่ละธุรกิจ แบ่งเป็นรายได้ 1.จากธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติ อยู่ที่ 83% 2.ธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ 16% และ 3.ธุรกิจพลังงานทดแทนและบริหารจัดการกากอินทรีย์ 1%
อย่างไรก็ตาม หากแยกในส่วนของธุรกิจพลังงานทดแทนและบริหารจัดการกากอินทรีย์ มีรายได้ 98.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.08 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 24.10% เนื่องจากมีปริมาณการรับกำจัดกากอินทรีย์เพิ่มขึ้นและอัตราค่าบริการเฉลี่ยที่สูงขึ้น จากความต้องการที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มลูกค้าเดิม และความสามารถในการสรรหาลูกค้ากลุ่มใหม่ได้ต่อเนื่อง ตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการปฏิบัติให้สอดรับกับประกาศของกระทรวงอุตสาหกรรม ว่าด้วยเรื่องการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว และช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการกำจัดของเสียได้
![รายงานพิเศษ TEGH.jpg](https://www.share2trade.com/storage/Coloum/%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%88%E0%B8%99/2023/November/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A9%20TEGH.jpg)
บล.ทรีนีตี้ วิเคราะห์หุ้น บมจ.ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (TEGH) โดยระบุว่า กำไร 3Q66 ดีขึ้นหลังขาดทุนจาก Fx ลดลง โดย TEGH ประกาศกำไร 3Q66 ที่ 40 ล้านบาท ดีขึ้น 1034%QoQ แต่อ่อนตัว 74%YoY ใกล้เคียงกับที่คาดไว้ก่อนหน้าที่ 43 ล้านบาท แม้ว่ารายได้รวมจะอ่อนตัวลง 1%QoQ และ 29%YoY โดยรายได้จากทั้งธุรกิจยางและปาล์มอ่อนตัวลง 1%QoQ หลังปริมาณขายยางแท่งและราคาขายทรงๆ ส่วนปริมาณขายน้ำยางข้นปรับตัวเพิ่มขึ้น และราคาขายอ่อนตัวลง
ส่วนปริมาณขายน้ำมันปาล์มดิบทรงๆ แต่ราคาขายปรับตัวลงตามภาวะตลาด ด้านอัตรากำไรขั้นต้นรวมปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจาก 8.6% ใน 2Q66 มาอยู่ที่ 8.9% โดยหลักคาดว่าเป็นผลจากต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวลงเล็กน้อยปัจจัยบวกหลักในไตรมาสนี้จึงมาจากผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ลดลงมาอยู่ที่ 12 ล้านบาท จาก 2Q66 ที่ 51 ล้านบาท
คาดแนวโน้มกำไร 4Q66 จะปรับตัวดีขึ้น QoQ จากแนวโน้มราคายางที่ปรับตัวดีขึ้น โดยราคายาง SICOM ได้ฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดที่ราว 142 Cent/Kg ในช่วงเดือน ส.ค. มาอยู่ที่ราว 171 Cent/Kg ในเดือน พ.ย. (เดือน ต.ค. ขึ้นไปสูงสุดที่ราว 175 Cent/Kg) สะท้อนความต้องการที่ฟื้นตัวระดับหนึ่ง นอกจากนี้บริษัทยังมีสัญญาส่งมอบ Biogas อีก 5 หมื่นตัน/วัน ซึ่งคาดว่าจะทำให้รายได้จากธุรกิจพลังงานทดแทนมาช่วยหนุนผลประกอบการ โดยเรายังคงคาดกำไรปี 2566-2567 254 ล้านบาท (-63%YoY) และ 412 ล้านบาท (+62%YoY) ตามลำดับ
เราให้ราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 3.80 บาท อิง PER 10 เท่า อย่างไรก็ตามราคาหุ้นที่อ่อนตัวลงค่อนข้างมากทำให้ Upside ยังสูง บวกกับทิศทางการฟื้นตัวของกำไรเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น เราจึงปรับคำแนะนำเป็น “ซื้อ” ส่วนความเสี่ยงที่ต้องติดตาม ได้แก่ ความผันผวนของราคายางและปาล์มน้ำมัน
ขณะที่นางสาวสินีนุช โกกนุทาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ TEGH ระบุแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/66 คาดว่าจะฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากราคายางที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยคาดการณ์แนวโน้มปริมาณขายยางแท่งในปีนี้ จะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ 200,000 ตัน โดย 9 เดือนแรกทำได้แล้ว 150,000 ตัน แบ่งเป็นสัดส่วนขายภายในประเทศ 52% และส่งออก 48%
นอกจากนี้ ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ได้ขยายการลงทุนเข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศไทยมากขึ้น รวมถึงผู้ผลิตยางล้อที่มีแผนเพิ่มกำลังการผลิตตามมาด้วย มองว่าจะสนับสนุนความต้องการการใช้ยางแท่งในประเทศให้ปรับตัวสูงขึ้น
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/66 ถือว่าเป็นไปตามแผนที่วางไว้ โดยเมื่อเทียบไตรมาส 2/66 กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้ใกล้เคียงเดิมที่ 3,001.70 ล้านบาท กำไรขั้นต้น อยู่ที่ 265.70 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.61 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2.55% และมีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 40.35 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36.80 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1,037.94 %
งวด 9 เดือนปีนี้ มีปริมาณขายยางแท่ง เพิ่มขึ้น 5.70% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการ 9,204.38 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิเท่ากับ 146.50 ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้ของแต่ละธุรกิจ แบ่งเป็นรายได้ 1.จากธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติ อยู่ที่ 83% 2.ธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ 16% และ 3.ธุรกิจพลังงานทดแทนและบริหารจัดการกากอินทรีย์ 1%
อย่างไรก็ตาม หากแยกในส่วนของธุรกิจพลังงานทดแทนและบริหารจัดการกากอินทรีย์ มีรายได้ 98.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.08 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 24.10% เนื่องจากมีปริมาณการรับกำจัดกากอินทรีย์เพิ่มขึ้นและอัตราค่าบริการเฉลี่ยที่สูงขึ้น จากความต้องการที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มลูกค้าเดิม และความสามารถในการสรรหาลูกค้ากลุ่มใหม่ได้ต่อเนื่อง ตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการปฏิบัติให้สอดรับกับประกาศของกระทรวงอุตสาหกรรม ว่าด้วยเรื่องการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว และช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการกำจัดของเสียได้