SYMC ปิดงบ 9 เดือนแข็งแกร่ง ทำรายได้รวม 1,522.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% มีกำไรสุทธิ 226.4 ล้านบาท เติบโต 80% ในขณะที่งบไตรมาส 3/66 ทำรายได้รวม 496.1 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 13.5% ดันกำไรโตเลข 2 หลัก แตะ 52.2 ล้านบาท คาดเสถียรภาพทางการเงินไตรมาส 4 ยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นรักษาฐานลูกค้าที่มีอยู่ไปพร้อมกับการพัฒนาบริการที่มีประสิทธิภาพและคุณภาพสูงผ่านโครงข่ายที่แข็งแกร่ง
นายอเล็กซ์ โลท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ซิมโฟนี่ คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SYMC ผู้ให้บริการโครงข่ายสื่อสารโทรคมนาคมทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า “ผลประกอบการโดยรวมในรอบ 9 เดือนของปี 2566 นั้นเติบโตต่อเนื่องทั้งยอดขายที่เพิ่มขึ้น มีรายได้รวม 1,522.8 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 20% ที่มีรายได้รวม 1,269.2 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 226.4 ล้านบาท เติบโต 80% จาก ช่วง 9 เดือนของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 125.8 ล้านบาท เนื่องจากรับรู้รายได้อื่นจำนวน 87.8 ล้านบาท ซึ่งเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 100 % เป็นกำไรรายการเดียวจากการขายเงินลงทุนในบริษัทร่วม 63.7 ล้านบาท และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 19 ล้านบาท
สำหรับภาพรวม ผลประกอบการโดยรวมในไตรมาส 3/2566 ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้จากการบริการอยู่ที่ 496.1 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 13.5% จากไตรมาส 3/2565 ที่มีรายได้อยู่ที่ 437.1 ล้านบาท และสามารถทำกำไรสุทธิเติบโตเป็นเลข 2 หลักต่อเนื่องอยู่ที่ 52.2 ล้านบาท เติบโตจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 12% ซึ่งมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 46.6 ล้านบาท
“ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 3 ปีนี้ ยังคงเป็นไปตามคาดการณ์ โดยเป็นการเติบโตในเชิงบวกต่อเนื่อง จากธุรกิจหลักทั้งในประเทศและต่างประเทศ ด้วยบริษัทเล็งเห็นความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นขององค์กรในประเทศที่ต้องเร่งเปลี่ยนผ่านธุรกิจและองค์กรสู่ดิจิทัลเร็วขึ้น อีกทั้งยังมีความต้องการเชื่อมต่อข้อมูลจำนวนมหาศาลมากขึ้น และในส่วนภาคธุรกิจระหว่างประเทศเติบโตในเชิงบวก เนื่องจากความต้องการเชื่อมต่อโครงข่ายการสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศทั่วโลก จากตลาดอินโดจีนที่ต้องการเชื่อมต่อกับประเทศไทยและศูนย์กลางดิจิทัลของอาเซียน” นายอเล็กซ์กล่าว
นายอเล็กซ์ กล่าวต่อว่า บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถมีผลการดำเนินการที่แข็งแกร่งตลอดทั้งปี 2566 จากการดำเนินกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ดี และยังมีโอกาสทางธุรกิจเพิ่มมาขึ้นจากการเชื่อมต่อโครงข่ายการสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศซึ่งรวมถึงบริการเสริมต่างๆ เช่น บริการคลาวด์ บริการด้านการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและความปลอดภัยทางไซเบอร์ โซลูชันดิจิทัลสำหรับลูกค้าองค์กรในประเทศ เนื่องจากการฟื้นตัวของธุรกิจในอุตสาหกรรมต่างๆ หลังโควิด-19 และการริเริ่มเศรษฐกิจเชิงบวกโดยรัฐบาลชุดใหม่ ส่งผลบวกต่อธุรกิจในระยะยาวและความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับบริการเชื่อมต่อโครงข่ายการสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศทั่วโลก นอกจากนี้ยังมีความต้องการลงทุน Hyperscaler Data Center ในประเทศไทย เพื่อรองรับปริมาณข้อมูลที่เพิ่มขึ้นมหาศาลในยุคปัจจุบัน เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลในอนาคต รวมถึงการให้บริการที่เป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลที่เชื่อมต่อกันทั่วตลาดอาเซียน โดยบริษัทมีเป้าหมายเป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานการเชื่อมต่อโครงข่ายการสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศชั้นนำในประเทศไทย และพร้อมจะลงทุนและเสริมความแข็งแกร่งให้กับสินทรัพย์หลักของบริษัท ไปพร้อมกับการสร้างบริการที่แตกต่างให้แก่ลูกค้าของเราในอนาคตต่อไป
ทั้งนี้ ในด้านการบริหารงานบริษัทฯ ยังได้รับการจัดอันดับเป็นบริษัทจดทะเบียนที่มีการกำกับดูแลกิจการในระดับ "ดีเลิศ" (Excellent) หรือ 5 ดาว ติดต่อกันเป็นปีที่ 4 อย่างต่อเนื่องจากโครงการสำรวจการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียนไทย (CRG) ของสถาบันกรมการบริษัทไทย (IOD) และการสนับสนุนจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความสำเร็จของบริษัทในการดำเนินธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
นายอเล็กซ์ โลท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ซิมโฟนี่ คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SYMC ผู้ให้บริการโครงข่ายสื่อสารโทรคมนาคมทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า “ผลประกอบการโดยรวมในรอบ 9 เดือนของปี 2566 นั้นเติบโตต่อเนื่องทั้งยอดขายที่เพิ่มขึ้น มีรายได้รวม 1,522.8 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 20% ที่มีรายได้รวม 1,269.2 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 226.4 ล้านบาท เติบโต 80% จาก ช่วง 9 เดือนของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 125.8 ล้านบาท เนื่องจากรับรู้รายได้อื่นจำนวน 87.8 ล้านบาท ซึ่งเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 100 % เป็นกำไรรายการเดียวจากการขายเงินลงทุนในบริษัทร่วม 63.7 ล้านบาท และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 19 ล้านบาท
สำหรับภาพรวม ผลประกอบการโดยรวมในไตรมาส 3/2566 ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้จากการบริการอยู่ที่ 496.1 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 13.5% จากไตรมาส 3/2565 ที่มีรายได้อยู่ที่ 437.1 ล้านบาท และสามารถทำกำไรสุทธิเติบโตเป็นเลข 2 หลักต่อเนื่องอยู่ที่ 52.2 ล้านบาท เติบโตจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 12% ซึ่งมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 46.6 ล้านบาท
“ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 3 ปีนี้ ยังคงเป็นไปตามคาดการณ์ โดยเป็นการเติบโตในเชิงบวกต่อเนื่อง จากธุรกิจหลักทั้งในประเทศและต่างประเทศ ด้วยบริษัทเล็งเห็นความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นขององค์กรในประเทศที่ต้องเร่งเปลี่ยนผ่านธุรกิจและองค์กรสู่ดิจิทัลเร็วขึ้น อีกทั้งยังมีความต้องการเชื่อมต่อข้อมูลจำนวนมหาศาลมากขึ้น และในส่วนภาคธุรกิจระหว่างประเทศเติบโตในเชิงบวก เนื่องจากความต้องการเชื่อมต่อโครงข่ายการสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศทั่วโลก จากตลาดอินโดจีนที่ต้องการเชื่อมต่อกับประเทศไทยและศูนย์กลางดิจิทัลของอาเซียน” นายอเล็กซ์กล่าว
นายอเล็กซ์ กล่าวต่อว่า บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถมีผลการดำเนินการที่แข็งแกร่งตลอดทั้งปี 2566 จากการดำเนินกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ดี และยังมีโอกาสทางธุรกิจเพิ่มมาขึ้นจากการเชื่อมต่อโครงข่ายการสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศซึ่งรวมถึงบริการเสริมต่างๆ เช่น บริการคลาวด์ บริการด้านการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและความปลอดภัยทางไซเบอร์ โซลูชันดิจิทัลสำหรับลูกค้าองค์กรในประเทศ เนื่องจากการฟื้นตัวของธุรกิจในอุตสาหกรรมต่างๆ หลังโควิด-19 และการริเริ่มเศรษฐกิจเชิงบวกโดยรัฐบาลชุดใหม่ ส่งผลบวกต่อธุรกิจในระยะยาวและความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับบริการเชื่อมต่อโครงข่ายการสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศทั่วโลก นอกจากนี้ยังมีความต้องการลงทุน Hyperscaler Data Center ในประเทศไทย เพื่อรองรับปริมาณข้อมูลที่เพิ่มขึ้นมหาศาลในยุคปัจจุบัน เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลในอนาคต รวมถึงการให้บริการที่เป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลที่เชื่อมต่อกันทั่วตลาดอาเซียน โดยบริษัทมีเป้าหมายเป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานการเชื่อมต่อโครงข่ายการสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศชั้นนำในประเทศไทย และพร้อมจะลงทุนและเสริมความแข็งแกร่งให้กับสินทรัพย์หลักของบริษัท ไปพร้อมกับการสร้างบริการที่แตกต่างให้แก่ลูกค้าของเราในอนาคตต่อไป
ทั้งนี้ ในด้านการบริหารงานบริษัทฯ ยังได้รับการจัดอันดับเป็นบริษัทจดทะเบียนที่มีการกำกับดูแลกิจการในระดับ "ดีเลิศ" (Excellent) หรือ 5 ดาว ติดต่อกันเป็นปีที่ 4 อย่างต่อเนื่องจากโครงการสำรวจการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียนไทย (CRG) ของสถาบันกรมการบริษัทไทย (IOD) และการสนับสนุนจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความสำเร็จของบริษัทในการดำเนินธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน