จับประเด็นหุ้นเด่น
รายงานพิเศษ : DTCENT ผลงานไตรมาส4 พุ่งต่อ “เดินทางท่องเที่ยว-กลับภูมิลำเนา” หนุน
14 พฤศจิกายน 2566
ปลายปีนับเป็นช่วงไฮซีชั่นของการเดินทางท่องเที่ยว และการเดินทางกลับภูมิลำเนา กระตุ้นการใช้รถยนต์ในการเดินทางและยังหนุนการเติบโตของธุรกิจเกี่ยวกับความปลอดภัยในการเดินทาง อย่างกล้องติดรถยนต์หรือ อุปกรณ์ GPS Tracking บมจ.ดี.ที.ซี. เอ็นเตอร์ไพรส์ (DTCENT)
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) แจ้งสถิตินักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางมายังประเทศไทยสะสม 10 เดือนของปี 2566 ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-29 ต.ค.66 มีจำนวนนักท่องเที่ยวมากถึง 22,064,968 คน โดยนักท่องเที่ยวจากมาเลเซียเดินทางเข้าไทยมากที่สุด รองลงมา ได้แก่ จีน เกาหลีใต้ อินเดีย และรัสเซีย ตามลำดับ โดยคาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวช่วงปลายปีจะเพิ่มขึ้น จากมาตรการ Visa Free ของรัฐบาล ดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ
ทั้งนี้ ททท.ได้กำหนดเป้าหมายในปี 2566 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางมาเที่ยวไทยประมาณ 25-28 ล้านคน ซึ่งจะสร้างรายได้เข้ากับประเทศมูลค่ารวมกว่า 2.167 ล้านล้านบาท นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ผู้ที่ถือหนังสือเดินทางของสาธารณรัฐอินเดีย และไต้หวัน ให้สามารถเข้ามาในราชอาณาจักรชั่วคราว เพื่อการท่องเที่ยวเป็นกรณีพิเศษ โดยอยู่ได้ไม่เกิน 30 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 10 พ.ย.66 - 10 พ.ค.67 (ระยะเวลา 6 เดือน) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและเป็นประโยชน์และการต่างประเทศในภาพรวม
นายทศพล คุณะเพิ่มศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ดี.ที.ซี. เอ็นเตอร์ไพรส์ (DTCENT) แนวโน้มการดำเนินธุรกิจในไตรมาส 4/66 ยังมีทิศทางที่ดีต่อเนื่อง จากการเร่งเปิดศูนย์บริการสำหรับจำหน่าย ติดตั้ง และซ่อมบำรุงอุปกรณ์ GPS Tracking และกล้องติดรถอย่างครบวงจร ตามจังหวัดใหญ่ๆ ของประเทศ โดยตั้งเป้าหมายให้ครบ 8 แห่งภายในปีนี้ ซึ่งปัจจุบันได้เปิดให้บริการแล้ว 6 แห่ง ทั้ง กรุงเทพฯ เชียงใหม่ อุดรธานี ขอนแก่น อยุธยา นครสวรรค์ เพื่อให้เข้าถึงผู้ใช้บริการรถยนต์ส่วนบุคคลเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับในช่วงนี้ไปจนถึงปลายปีและต้นปีหน้า จะเกิดการเดินทางท่องเที่ยว และกลับภูมิลำเนาในช่วงสิ้นปี ซึ่งความต้องการใช้บริการระบบ GPS Tracking จะมีเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ส่งผลเชิงบวกให้กับบริษัทฯ และปัจจัยเหล่านี้ จะสนับสนุนให้บรรลุเป้าหมาย สามารถสร้างผลงานในปีนี้เติบโตได้ที่ระดับ 10-15% ตามแผนที่วางไว้
ส่วนผลประกอบการในงวดไตรมาส 3/66 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 43.93 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 196.82% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 14.80 ล้านบาท และมีรายได้รวม 220.03 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.85% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน มีรายได้รวม 155.11 ล้านบาท
โดยบริษัทยังทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงการที่บริษัทฯ มีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่มีความทันสมัยอยู่เสมอ เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในปัจจุบัน พร้อมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้กับองค์กรต่างๆ และสินค้าระบบ GPS Tracking ประเภทเช่ายังได้รับความนิยมจากลูกค้าเพิ่มขึ้น
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) แจ้งสถิตินักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางมายังประเทศไทยสะสม 10 เดือนของปี 2566 ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-29 ต.ค.66 มีจำนวนนักท่องเที่ยวมากถึง 22,064,968 คน โดยนักท่องเที่ยวจากมาเลเซียเดินทางเข้าไทยมากที่สุด รองลงมา ได้แก่ จีน เกาหลีใต้ อินเดีย และรัสเซีย ตามลำดับ โดยคาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวช่วงปลายปีจะเพิ่มขึ้น จากมาตรการ Visa Free ของรัฐบาล ดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ
ทั้งนี้ ททท.ได้กำหนดเป้าหมายในปี 2566 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางมาเที่ยวไทยประมาณ 25-28 ล้านคน ซึ่งจะสร้างรายได้เข้ากับประเทศมูลค่ารวมกว่า 2.167 ล้านล้านบาท นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ผู้ที่ถือหนังสือเดินทางของสาธารณรัฐอินเดีย และไต้หวัน ให้สามารถเข้ามาในราชอาณาจักรชั่วคราว เพื่อการท่องเที่ยวเป็นกรณีพิเศษ โดยอยู่ได้ไม่เกิน 30 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 10 พ.ย.66 - 10 พ.ค.67 (ระยะเวลา 6 เดือน) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและเป็นประโยชน์และการต่างประเทศในภาพรวม
นายทศพล คุณะเพิ่มศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ดี.ที.ซี. เอ็นเตอร์ไพรส์ (DTCENT) แนวโน้มการดำเนินธุรกิจในไตรมาส 4/66 ยังมีทิศทางที่ดีต่อเนื่อง จากการเร่งเปิดศูนย์บริการสำหรับจำหน่าย ติดตั้ง และซ่อมบำรุงอุปกรณ์ GPS Tracking และกล้องติดรถอย่างครบวงจร ตามจังหวัดใหญ่ๆ ของประเทศ โดยตั้งเป้าหมายให้ครบ 8 แห่งภายในปีนี้ ซึ่งปัจจุบันได้เปิดให้บริการแล้ว 6 แห่ง ทั้ง กรุงเทพฯ เชียงใหม่ อุดรธานี ขอนแก่น อยุธยา นครสวรรค์ เพื่อให้เข้าถึงผู้ใช้บริการรถยนต์ส่วนบุคคลเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับในช่วงนี้ไปจนถึงปลายปีและต้นปีหน้า จะเกิดการเดินทางท่องเที่ยว และกลับภูมิลำเนาในช่วงสิ้นปี ซึ่งความต้องการใช้บริการระบบ GPS Tracking จะมีเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ส่งผลเชิงบวกให้กับบริษัทฯ และปัจจัยเหล่านี้ จะสนับสนุนให้บรรลุเป้าหมาย สามารถสร้างผลงานในปีนี้เติบโตได้ที่ระดับ 10-15% ตามแผนที่วางไว้
ส่วนผลประกอบการในงวดไตรมาส 3/66 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 43.93 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 196.82% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 14.80 ล้านบาท และมีรายได้รวม 220.03 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.85% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน มีรายได้รวม 155.11 ล้านบาท
โดยบริษัทยังทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงการที่บริษัทฯ มีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่มีความทันสมัยอยู่เสมอ เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในปัจจุบัน พร้อมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้กับองค์กรต่างๆ และสินค้าระบบ GPS Tracking ประเภทเช่ายังได้รับความนิยมจากลูกค้าเพิ่มขึ้น