THRE ปักธงปิดปี 2566 ทั้งรายได้และกำไรเติบโตแรง หลังโควิด-19 คลี่คลาย พร้อมกวาดเบี้ยรับสุทธิโต 20% สูงเกินคาด อานิสงค์ตลาด Hard Market โชว์ผลงานงวด Q3/66 กำไรสุทธิพุ่งแรง 355% แตะ 56 ล้านบาท เบี้ยรับโตเด่นทะลุ 1,200 ล้านบาทติดต่อกัน 2 ไตรมาส ดันธุรกิจสดใสทั้งในไทยและต่างประเทศ ขณะที่รายได้การลงทุนโต 56% หลังปรับกลยุทธ์จัดพอร์ตรับมือตลาดผันผวน รับแรงหนุนอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น
นายโอฬาร วงศ์สุรพิเชษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยรับประกันภัยต่อ จำกัด (มหาชน) หรือ THRE ผู้ให้บริการด้านการรับประกันภัยต่อ (Professional Reinsurer) มั่นใจภาพรวมผลงานปี 2566 ทั้งรายได้และกำไรเติบโตต่อเนื่อง หลังเบี้ยประกันภัยต่อรับสุทธิช่วง 9 เดือนเติบโต 20% จากช่วงเดียวกันปีก่อนเกินกว่าเป้าหมายที่วางไว้ จากการที่บริษัทมุ่งเดินหน้าขยายการเติบโตของกลุ่มธุรกิจดั้งเดิม (Conventional) ให้สอดรับกับแนวโน้มอัตราเบี้ยประกันภัยต่อรับในช่วงตลาดขาขึ้น (Hard Market)
พร้อมเดินหน้าคิดค้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สามารถรองรับไลฟ์สไตล์ และความต้องการของลูกค้าได้อย่างหลากหลายมากยิ่งขึ้น ควบคู่ไปกับการเร่งขยายฐานลูกค้าในต่างประเทศ ขณะเดียวกัน บริษัท บลูเวนเจอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BVG ซึ่งเป็นบริษัทลูก ยังมีแนวโน้มการเติบโตที่โดดเด่น จากการมุ่งพัฒนาบริการระบบ AI Estimate และ AI Inspection ในการวิเคราะห์ข้อมูล และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพระบบจัดการสินไหมทดแทนให้ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยต่อยอดการเติบโตที่แข็งแกร่งให้กับ THRE ในอนาคต
นายโอฬาร กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับภาพรวมผลงานงวดไตรมาส 3 ปี 2566 เติบโตแกร่ง กำไรสุทธิโตกว่า 355% แตะ 56 ล้านบาท เทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีผลขาดทุนสุทธิ 22 ล้านบาท ขณะที่เบี้ยประกันภัยต่อรับสุทธิเติบโต 32% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แตะ 1,210 ล้านบาท ตามการขยายตัวของธุรกิจ ทั้งในส่วนของ Personal line และ Commercial line ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย
ขณะเดียวกัน บริษัทยังได้รับแรงหนุนจากสภาพตลาดประกันภัยต่อโดยรวม ที่อัตราเบี้ยประกันภัยต่อรับปรับตัวสู่ช่วงขาขึ้น ส่งผลให้บริษัทสามารถขยายตลาดได้ทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV ซึ่งบริษัทยังสามารถรักษาอัตรา Combined Ratio ไว้ได้ที่ระดับ 96.9% ตามแผน
นอกจากนี้ บริษัทยังมีรายได้จากการลงทุนสุทธิเพิ่มขึ้น 56% จากช่วงเดียวกันปีก่อน มาอยู่ที่ 14 ล้านบาท หลังจากได้พิจารณาปรับกลยุทธ์การลงทุน ให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสภาวะความผันผวนของตลาดทุน ด้วยการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในเงินฝากและพันธบัตรให้มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นมากกว่า 70% ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมด เพื่อเพิ่มโอกาสการเติบโตในช่วงอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงติดตามการเคลื่อนไหวของตลาดทุนอย่างใกล้ชิด และพร้อมปรับกลยุทธ์บริหารสัดส่วนพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
นายโอฬาร วงศ์สุรพิเชษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยรับประกันภัยต่อ จำกัด (มหาชน) หรือ THRE ผู้ให้บริการด้านการรับประกันภัยต่อ (Professional Reinsurer) มั่นใจภาพรวมผลงานปี 2566 ทั้งรายได้และกำไรเติบโตต่อเนื่อง หลังเบี้ยประกันภัยต่อรับสุทธิช่วง 9 เดือนเติบโต 20% จากช่วงเดียวกันปีก่อนเกินกว่าเป้าหมายที่วางไว้ จากการที่บริษัทมุ่งเดินหน้าขยายการเติบโตของกลุ่มธุรกิจดั้งเดิม (Conventional) ให้สอดรับกับแนวโน้มอัตราเบี้ยประกันภัยต่อรับในช่วงตลาดขาขึ้น (Hard Market)
พร้อมเดินหน้าคิดค้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สามารถรองรับไลฟ์สไตล์ และความต้องการของลูกค้าได้อย่างหลากหลายมากยิ่งขึ้น ควบคู่ไปกับการเร่งขยายฐานลูกค้าในต่างประเทศ ขณะเดียวกัน บริษัท บลูเวนเจอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BVG ซึ่งเป็นบริษัทลูก ยังมีแนวโน้มการเติบโตที่โดดเด่น จากการมุ่งพัฒนาบริการระบบ AI Estimate และ AI Inspection ในการวิเคราะห์ข้อมูล และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพระบบจัดการสินไหมทดแทนให้ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยต่อยอดการเติบโตที่แข็งแกร่งให้กับ THRE ในอนาคต
นายโอฬาร กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับภาพรวมผลงานงวดไตรมาส 3 ปี 2566 เติบโตแกร่ง กำไรสุทธิโตกว่า 355% แตะ 56 ล้านบาท เทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีผลขาดทุนสุทธิ 22 ล้านบาท ขณะที่เบี้ยประกันภัยต่อรับสุทธิเติบโต 32% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แตะ 1,210 ล้านบาท ตามการขยายตัวของธุรกิจ ทั้งในส่วนของ Personal line และ Commercial line ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย
ขณะเดียวกัน บริษัทยังได้รับแรงหนุนจากสภาพตลาดประกันภัยต่อโดยรวม ที่อัตราเบี้ยประกันภัยต่อรับปรับตัวสู่ช่วงขาขึ้น ส่งผลให้บริษัทสามารถขยายตลาดได้ทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV ซึ่งบริษัทยังสามารถรักษาอัตรา Combined Ratio ไว้ได้ที่ระดับ 96.9% ตามแผน
นอกจากนี้ บริษัทยังมีรายได้จากการลงทุนสุทธิเพิ่มขึ้น 56% จากช่วงเดียวกันปีก่อน มาอยู่ที่ 14 ล้านบาท หลังจากได้พิจารณาปรับกลยุทธ์การลงทุน ให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสภาวะความผันผวนของตลาดทุน ด้วยการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในเงินฝากและพันธบัตรให้มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นมากกว่า 70% ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมด เพื่อเพิ่มโอกาสการเติบโตในช่วงอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงติดตามการเคลื่อนไหวของตลาดทุนอย่างใกล้ชิด และพร้อมปรับกลยุทธ์บริหารสัดส่วนพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป