จับประเด็นหุ้นเด่น

รายงานพิเศษ : HL รับอานิสงส์ “เมดิคัล ฮับ” เร่งขยายสาขา-หนุนรายได้เติบโตยั่งยืน


15 พฤศจิกายน 2566
กระทรวงสาธารณสุขตั้งเป้าให้ประเทศไทยเป็นเมดิคัล ฮับ  เพราะมีสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน มีบุคลากรทางการแพทย์ที่เชี่ยวชาญ  ซึ่งส่งผลดีต่อธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เช่น ร้านขายยา ที่ได้รับการยอมรับมากขึ้น โดยเฉพาะ บมจ. เฮลท์ลีด  (HL) ที่ลงทุนในธุรกิจร้านขายยา จำหน่ายยา เวชภัณฑ์ เวชสำอาง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อุปกรณ์การแพทย์ และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพต่างๆ

รายงานพิเศษ HL copy.jpg

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว  รมว.สาธารณสุข ระบุประเทศไทยตั้งเป้าเป็นเมดิคัล ฮับ( Medical Hub) ซึ่งประเทศไทยมีศักยภาพและมีข้อเท็จจริงที่สนับสนุน โดยได้รับการจัดอันดับจาก Medical  Tourism Association ในปี 2020-2021 เป็นอันดับ 17  มีจุดเด่นที่ Medical Tourism Industry อยู่ในอันดับ 5  นอกจากนี้ กรุงเทพฯยังเป็นอันดับ 1 เมืองที่นักท่องเที่ยวเดินทางมามากที่สุดในโลก ส่วนจ.ภูเก็ต อันดับ 14 พัทยา จ.ชลบุรี อันดับ 15

เนื่องจากไทยมี จุดแข็ง 7 ข้อ ได้แก่ 1.แหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่ชาวโลกรู้จัก 2. มีความพร้อมของสถานพยาบาลที่มีชื่อเสียง ได้มาตรฐานในระดับโลก 3. มีแพทย์และบุคลากรที่มีความรู้และเชี่ยวชาญ 4. อัตราค่าบริการในการรักษาพยาบาลมีความเหมาะสม 5.ผู้ให้บริการมีจิตใจในการบริการและการต้อนรับในเกณฑ์ที่สูง 6.มีการให้บริการด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบถ้วน และ 7.ประเทศไทยมีความโดดเด่นด้านการแพทย์ทางเลือกอย่างการแพทย์แผนไทย  

การยกระดับระบบสาธารณสุขของไทยให้แข็งแกร่งขึ้น ย่อมส่งผลดีต่อธุรกิจร้านขายยาในประเทศที่จะได้รับอานิสงส์จากการเติบโตดังกล่าว  โดยเฉพาะร้านขายยาที่มีสาขาจำนวนมาก และมีการกระจายไปยังแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ  รวมทั้ง บมจ. เฮลท์ลีด  (HL) ที่มีเป้าหมายขยายสาขาร้านขายยาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

ซึ่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “ภก.ธัชพล ชลวัฒนสกุล”  คาดการณ์แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/66 จะเติบโตต่อเนื่อง จากความสามารถในการทำกำไรจากสาขาใหม่ที่เปิดช่วงปี 2565 จะเริ่มทยอยคืนทุน ทำให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายลดลง ขณะที่ยอดขายกลุ่มผลิตภัณฑ์ยาและอาหารเสริมปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยรายได้ 9 เดือนอยู่ที่ 1,193.25 ล้านบาท ทำให้มั่นใจว่ารายได้ในปีนี้จะเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน

ทั้งนี้ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 66 ได้ดำเนินการเปิดสาขาใหม่เพิ่มทั้งสิ้น 7 สาขา ส่งผลให้ ณ วันที่ 30 ก.ย.66 กลุ่มบริษัทฯ มีร้านขายยาเปิดดำเนินการแล้วรวม 43 สาขา  นอกจากนี้ ในช่วงต้นไตรมาส 4/66 ได้เปิดร้านขายยาเพิ่มอีก 2 สาขา โดยตั้งเป้าสิ้นปีนี้มีสาขาครบ 50 สาขา โดยเตรียมเปิดสาขาใหม่อีก 5 สาขาในช่วงที่เหลือของปี ซึ่งจะให้บริการสาขาขนาดใหญ่ที่สุด 550 ตารางเมตร ที่ "Rama Health Space @ Paradise Park" ในช่วงปลายปีนี้ หรือเดือน ธ.ค.66 โดยมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับที่ดี
          
ส่วนภาพรวมผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/66 บริษัทแจ้งมีกำไรสุทธิ 16.21 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.06 บาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 31.2 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.11 บาท ขณะที่ไตรมาส 2/66 มีกำไร 15.97 ล้านบาท 
          
ไตรมาส 3/66 กลุ่มบริษัทมีรายได้รวม 416.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.44% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 402.71 ล้านบาท โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์สินค้า ได้แก่ 1.กลุ่มยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเติบโต 10.23% 2.กลุ่มสินค้าสุขภาพภายนอกร่างกาย เติบโต 11.54% และ 3.กลุ่มสินค้าบริโภค เติบโต 27.01% ซึ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์ทั้ง 3 กลุ่มนี้มีสัดส่วน 85.90% ของรายได้จากการขายในงวดปัจจุบัน 
          
ขณะเดียวกัน ฐานะการเงินของกลุ่มยังมีควาแข็งแกร่ง โดยกลุ่มบริษัทไม่มีเงินกู้จากสถาบันการเงิน หลังจากได้ชำระคืนเงินกู้จากสถาบันการเงินทั้งหมดในไตรมาส 2/65  ทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ในระดับต่ำเพียง 0.39 เท่า
HL