บริษัทเอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGD คาดการณ์ภาพรวมธุรกิจวัสดุตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียนทยอยฟื้นตัวในปีหน้าจากการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของไทยและเวียดนาม การย้ายเมืองหลวงใหม่ของอินโดนีเซีย และเศรษฐกิจฟิลิปปินส์ที่ยังคงแข็งแกร่ง วางเป้าหมายรักษาความเป็นผู้นำธุรกิจในภูมิภาค ด้านบอร์ด SCGD เคาะแผนลงทุนกว่า 800 ล้านบาท ขยายกำลังการผลิตกระเบื้องพอร์ซเลน 6.6 ล้านตารางเมตรต่อปีในเวียดนาม เพื่อตอบสนองดีมานด์กระเบื้องขนาดใหญ่ และโรงงานกระเบื้องไวนิล SPC 1.8 ล้านตารางเมตรต่อปีในประเทศไทย เพื่อตอบสนองเทรนด์ของผู้บริโภคที่มีการเติบโตในปัจจุบัน เผยผลงานไตรมาส 3 ปี 2566 มีรายได้จากการขาย 7,186 ล้านบาท ชะลอตัวเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า จากยอดขายธุรกิจตกแต่งพื้นผิว และสุขภัณฑ์ในประเทศไทย
นายนำพล มลิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทเอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGD เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจวัสดุตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ ประเทศไทย เวียดนาม อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นหรือฟื้นตัวในปี 2567 โดยประเทศไทยจะได้รับปัจจัยบวกจากการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและกระตุ้นการท่องเที่ยว เช่น การแจกเงินดิจิทัล, มาตรการพักชำระหนี้แก่เกษตรกร, มาตรการปรับลดราคาน้ำมันและค่าไฟฟ้า, มาตรการฟรีวีซ่า เป็นต้น จะช่วยเพิ่มกำลังซื้อแก่ผู้บริโภคและดีมานด์วัสดุตกแต่งและสุขภัณฑ์ เพื่อปรับปรุงตกแต่งโรงแรมและรีสอร์ท รับโอกาสการท่องเที่ยวขยายตัว ส่วนเวียดนามคาดว่าดีมานด์วัสดุตกแต่งจะทยอยฟื้นตัว จากการเพิ่มขึ้นของการลงทุนจากภาคเอกชน การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อาทิ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย, การปรับลดภาษีมูลค่าเพิ่มเหลือ 8% จากเดิม 10%, การผ่อนปรนนโยบายทางการเงินเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง ฯลฯ จะส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นในการลงทุนและการบริโภค รวมถึงเพิ่มสภาพคล่องในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ด้านฟิลิปปินส์ คาดว่าภาพรวมเศรษฐกิจยังมีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่ง ขณะที่อินโดนีเซียจะได้รับปัจจัยบวกจากการก่อสร้างเมืองหลวงแห่งใหม่ “นูซันตารา” ที่จะกระตุ้นให้เกิดการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและอสังหาริมทรัพย์
ทั้งนี้ บริษัทฯ วางเป้าหมายรักษาความเป็นผู้นำธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียน โดยวางกลยุทธ์ให้เวียดนามเป็นฐานการผลิตกระเบื้องปูพื้นและบุผนังที่มีศักยภาพด้านการบริหารต้นทุนและการส่งออกในภูมิภาคอาเซียนเช่นเดียวกับประเทศไทย ล่าสุดคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติแผนลงทุน 693 ล้านบาท ขยายกำลังการผลิตกระเบื้องพอร์ซเลน 6.6 ล้านตารางเมตรต่อปี ในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศเวียดนาม โดยเป็นการขยายกำลังการผลิตใหม่อีก 1.65 ล้านตารางเมตรต่อปี และทดแทนกำลังการผลิตเดิมอีก 4.95 ล้านตารางเมตรต่อปี เพื่อขยายตลาดและตอบสนองความต้องการใช้กระเบื้องพอร์ซเลนที่เพิ่มขึ้น ทั้งยังเป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของโรงงาน ลดการใช้พลังงาน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สอดคล้องกับนโยบายด้าน ESG ด้วย โดยคาดว่าการลงทุนดังกล่าวจะแล้วเสร็จช่วงต้นปี 2568 และอนุมัติแผนลงทุน 138 ล้านบาท ในโรงงานผลิตกระเบื้องไวนิล SPC ในประเทศไทย ด้วยกำลังการผลิต 1.8 ล้านตารางเมตรต่อปี เพื่อตอบสนองเทรนด์ของผู้บริโภคที่มีการเติบโตอย่างมากในปัจจุบัน โดยคาดว่าการลงทุนดังกล่าวจะแล้วเสร็จช่วงกลางปี 2567 นอกจากนี้ ในช่วงไตรมาส 3/2566 ได้เริ่มเดินเครื่องจักรสายการผลิตใหม่ที่โรงงาน Dai Loc ในเวียดนาม โดยมีกำลังการผลิตกระเบื้องเซมิ-เกลซ พอร์ซเลน (Semi-Glazed Porcelain) และกระเบื้องขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น 1.38 ล้านตารางเมตรต่อปี ซึ่งเป็นสินค้าที่มีราคาขายเฉลี่ยสูงกว่ากระเบื้องทั่วไปเพื่อขยายตลาดระดับกลาง-บน พร้อมทั้งอยู่ระหว่างศึกษาแผนการลงทุนโรงงานในพื้นที่ภาคใต้ของเวียดนาม เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด และศึกษาแผนการลงทุนในโรงงานสุขภัณฑ์แห่งใหม่เพื่อรองรับการขยายธุรกิจไปยังตลาดอาเซียน
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCGD กล่าวว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2566 ของ SCGD มีรายได้จากการขาย 7,186 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 280 ล้านบาท (หลังปรับปรุงรายการที่ไม่เกิดขึ้นประจำ) ส่วนภาพรวม 9 เดือนแรก ปี 2566 มีรายได้จากการขาย 21,522 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 760 ล้านบาท (หลังปรับปรุงรายการที่ไม่เกิดขึ้นประจำ) ชะลอตัวเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยหลักจากรายได้ที่ลดลงของธุรกิจตกแต่งพื้นผิวในเวียดนาม อย่างไรก็ตามประเมินว่าภาพรวมเศรษฐกิจเวียดนามกำลังค่อย ๆ ฟื้นตัว จากการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยรัฐบาลเวียดนาม Asian Development Bank (ADB) และ World Bank หรือธนาคารโลก มีมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจเวียดนามที่จะฟื้นตัวในปี 2567 และคาดการณ์จีดีพีในปีหน้าจะเติบโต 5.5% – 6.5%
ทั้งนี้ รายได้จากการขายของบริษัทฯ ในไตรมาส 3 ปี 2566 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน จากยอดขายในประเทศไทยทั้งธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและธุรกิจสุขภัณฑ์ ส่วนยอดขายในต่างประเทศโดยรวมยังทรงตัวจากไตรมาสก่อน ตามภาพรวมเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมกระเบื้องเซรามิกในภูมิภาคที่ค่อย ๆ ฟื้นตัว คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2567 นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุนการผลิตและลดต้นทุนพลังงาน จากโครงการต่าง ๆ ที่ดำเนินการแล้วเสร็จในไตรมาส 3 ปี 2566 เช่น การเดินเครื่องจักรสายการผลิตใหม่ที่โรงงานหนองแค สระบุรี เพื่อผลิตกระเบื้องขนาด 60x60 ซม. กำลังการผลิตปีละประมาณ 4.32 ล้านตารางเมตร, การผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์รวมกว่า 11.5 เมกะวัตต์ (MW), การนำเชื้อเพลิงชีวมวลมาผลิตลมร้อนเพื่อใช้ในกระบวนการผลิตผงดินที่โรงงานหิน สระบุรี เป็นต้น