Wealth Sharing
SCB CIO แนะทยอยลงทุนหุ้นอินเดีย เศรษฐกิจโตเด่นจากกำลังซื้อในปท.-เลือกตั้ง
22 พฤศจิกายน 2566
SCB CIO มองตลาดหุ้นอินเดียแนวโน้มสดใสแนะทยอยลงทุน เศรษฐกิจโตเด่นได้แรงหนุนจากกำลังซื้อในประเทศผนวกมาตรการกระตุ้นก่อนเลือกตั้ง
ดร.กำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส และหัวหน้าทีม SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า SCB CIO มองว่า ตลาดหุ้นอินเดียมีแนวโน้มสดใส เนื่องจาก ขนาดเศรษฐกิจอินเดียในช่วง 10 ปีจากนี้ จะเติบโต 6-7% ต่อปี ทำให้เศรษฐกิจอินเดียมีโอกาสแซงหน้าประเทศญี่ปุ่นและเยอรมนี ภายในปี 2573 ซึ่งการเติบโตของเศรษฐกิจอินเดีย มาจากภายในประเทศเป็นหลัก ทั้งจากแรงหนุนภาครัฐ ภาคเอกชน และการบริโภคของประชากร
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นอินเดีย มีมูลค่าตลาด (มาร์เก็ตแคป) อยู่ที่ประมาณ 3.7 ล้านล้านดอลลาร์ สรอ. มีขนาดใหญ่อันดับ 5 ของโลก กำลังได้แรงหนุนจากนโยบายส่งเสริมการลงทุนลดหย่อนภาษีจากรัฐบาล โดยดัชนีหลักที่นักลงทุนติดตาม ได้แก่ Nifty 50 และ Sensex ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีขนาดใหญ่สุด คือ กลุ่มการเงิน ตามด้วย เทคโนโลยีสารสนเทศ และพลังงาน ขณะที่ ปัจจุบัน Fund Flow ของนักลงทุนภายในประเทศเริ่มมีบทบาทสำคัญมากขึ้น หลังรัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนให้ภาคครัวเรือนเก็บออมเพื่อการเกษียณผ่านกองทุน Systematic Investment Plans หรือ (SIPs) ซึ่งเป็นการลงทุนที่ลดหย่อนภาษีได้ และมีระบบช่วยในการลงทุนเป็นประจำรายเดือน
จากความน่าสนใจของตลาดหุ้นอินเดีย ทำให้ เรามีมุมมอง Slightly Positive หรือแนะนำให้ทยอยลงทุนได้สำหรับตลาดหุ้นอินเดีย เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจยังอยู่ในระดับสูงกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค และผลบวกจาก Election Rally เราเชื่อว่า รัฐบาลจะมีมาตรการเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ และ การบริโภคในช่วงก่อนการเลือกตั้งรัฐบาลรอบเดือน เม.ย - พ.ค. 2567 ขณะที่ แรงกดดันของ Fund Flow ไหลออกเริ่มลดลง หลังจากตลาดมีมุมมองว่าการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของ Fed ได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และ มีโอกาสคงอัตราดอกเบี้ยไปจนถึงกลางปีหน้า นอกจากนี้ การที่พันธบัตรประเทศอินเดียจะถูกรวมเข้าคำนวณในดัชนี JP Morgan Local Government Bond index (GBI-EM GD) ในช่วงระยะเวลา 10 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 28 มิ.ย. 2567 เป็นต้นไป จะช่วยเพิ่มเงินทุนไหลเข้ามาลงทุนอินเดีย และ ลดความเสี่ยงของ fund flow ไหลออกในอนาคต
ในส่วนของตลาดหุ้น ดัชนี MSCI ก็ได้เพิ่มน้ำหนักหุ้นอินเดียใน ดัชนี MSCI Emerging Market จาก 15.9% สู่ระดับ 16.3% ซึ่งจะช่วยเพิ่มความน่าสนใจการลงทุนในหุ้นอินเดียต่อนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะกองทุนและETF ที่มีกลยุทธ์แบบ Passive Investment และคาดว่าจะมีเงินไหลเข้าตลาดหุ้นอินเดียเพิ่มเติมอีก 1.5 พันล้านดอลลาร์ สรอ. หลังจากการปรับปรุงน้ำหนัก ขณะที่ เงินเฟ้อชะลอความร้อนแรงลง โดยอัตราเงินเฟ้อเคยอยู่สูงสุดในเดือน ก.ค. 2566 ที่ 7.4%YoY และได้ลดลงสู่ระดับ 4.8%YoY ในเดือน ต.ค. 2566 และ มีแนวโน้มลดลงต่อ ทำให้มีโอกาสที่ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงได้ 25 bps ในปี 2567
ดร.กำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส และหัวหน้าทีม SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า SCB CIO มองว่า ตลาดหุ้นอินเดียมีแนวโน้มสดใส เนื่องจาก ขนาดเศรษฐกิจอินเดียในช่วง 10 ปีจากนี้ จะเติบโต 6-7% ต่อปี ทำให้เศรษฐกิจอินเดียมีโอกาสแซงหน้าประเทศญี่ปุ่นและเยอรมนี ภายในปี 2573 ซึ่งการเติบโตของเศรษฐกิจอินเดีย มาจากภายในประเทศเป็นหลัก ทั้งจากแรงหนุนภาครัฐ ภาคเอกชน และการบริโภคของประชากร
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นอินเดีย มีมูลค่าตลาด (มาร์เก็ตแคป) อยู่ที่ประมาณ 3.7 ล้านล้านดอลลาร์ สรอ. มีขนาดใหญ่อันดับ 5 ของโลก กำลังได้แรงหนุนจากนโยบายส่งเสริมการลงทุนลดหย่อนภาษีจากรัฐบาล โดยดัชนีหลักที่นักลงทุนติดตาม ได้แก่ Nifty 50 และ Sensex ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีขนาดใหญ่สุด คือ กลุ่มการเงิน ตามด้วย เทคโนโลยีสารสนเทศ และพลังงาน ขณะที่ ปัจจุบัน Fund Flow ของนักลงทุนภายในประเทศเริ่มมีบทบาทสำคัญมากขึ้น หลังรัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนให้ภาคครัวเรือนเก็บออมเพื่อการเกษียณผ่านกองทุน Systematic Investment Plans หรือ (SIPs) ซึ่งเป็นการลงทุนที่ลดหย่อนภาษีได้ และมีระบบช่วยในการลงทุนเป็นประจำรายเดือน
จากความน่าสนใจของตลาดหุ้นอินเดีย ทำให้ เรามีมุมมอง Slightly Positive หรือแนะนำให้ทยอยลงทุนได้สำหรับตลาดหุ้นอินเดีย เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจยังอยู่ในระดับสูงกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค และผลบวกจาก Election Rally เราเชื่อว่า รัฐบาลจะมีมาตรการเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ และ การบริโภคในช่วงก่อนการเลือกตั้งรัฐบาลรอบเดือน เม.ย - พ.ค. 2567 ขณะที่ แรงกดดันของ Fund Flow ไหลออกเริ่มลดลง หลังจากตลาดมีมุมมองว่าการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของ Fed ได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และ มีโอกาสคงอัตราดอกเบี้ยไปจนถึงกลางปีหน้า นอกจากนี้ การที่พันธบัตรประเทศอินเดียจะถูกรวมเข้าคำนวณในดัชนี JP Morgan Local Government Bond index (GBI-EM GD) ในช่วงระยะเวลา 10 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 28 มิ.ย. 2567 เป็นต้นไป จะช่วยเพิ่มเงินทุนไหลเข้ามาลงทุนอินเดีย และ ลดความเสี่ยงของ fund flow ไหลออกในอนาคต
ในส่วนของตลาดหุ้น ดัชนี MSCI ก็ได้เพิ่มน้ำหนักหุ้นอินเดียใน ดัชนี MSCI Emerging Market จาก 15.9% สู่ระดับ 16.3% ซึ่งจะช่วยเพิ่มความน่าสนใจการลงทุนในหุ้นอินเดียต่อนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะกองทุนและETF ที่มีกลยุทธ์แบบ Passive Investment และคาดว่าจะมีเงินไหลเข้าตลาดหุ้นอินเดียเพิ่มเติมอีก 1.5 พันล้านดอลลาร์ สรอ. หลังจากการปรับปรุงน้ำหนัก ขณะที่ เงินเฟ้อชะลอความร้อนแรงลง โดยอัตราเงินเฟ้อเคยอยู่สูงสุดในเดือน ก.ค. 2566 ที่ 7.4%YoY และได้ลดลงสู่ระดับ 4.8%YoY ในเดือน ต.ค. 2566 และ มีแนวโน้มลดลงต่อ ทำให้มีโอกาสที่ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงได้ 25 bps ในปี 2567