Wealth Sharing
ThaiBMA เผย ESG bondในไทยมีมูลค่า 6.9 แสนลบ. คาดThailand ESG Fund เปิดขายต้นธ.ค.นี้
23 พฤศจิกายน 2566
ดร.สมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย ได้กล่าวถึงมาตรการของประเทศต่างๆในการควบคุมการเพิ่มของอุณหภูมิเฉลี่ยโลกไม่ให้เกิน 1.5 – 2 องศาเซลเซียส เช่น การปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป และการชดเชยคาร์บอนจากสายการบินระหว่างประเทศ ในส่วนการเติบโตของการระดมทุนผ่านการออกหุ้นกู้ ESG bond ในประเทศไทย มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่องจนมีมูลค่าคงค้างกว่า 6.9 แสนล้านบาท ประกอบด้วยผู้ออกภาครัฐ 6 องค์กร และภาคเอกชน 25 บริษัท และภาครัฐยังได้ส่งเสริมการจัดตั้งกองทุนไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund) ซึ่งนักลงทุนจะได้สิทธิลดหย่อนภาษีจากการลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้กลุ่มความยั่งยืน ซึ่งคาดว่าจะเสนอขายต่อผู้ลงทุนได้ภายในต้นเดือนธันวาคมนี้
คุณชิดชนก อันโนนจารย์ Associate Economics Officer, Asian Development Bank (ADB) กล่าวถึงการเติบโตของตลาดตราสารหนี้ ESG bond ในกลุ่มอาเซียน+3 (อาเซียนรวมกับจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้) คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 1.4% ของตลาดตราสารหนี้ทั่วโลก โดยภาคเอกชนเป็นหน่วยงานหลักในการออก ESG bond และ Green bond มีสัดส่วนการออกมากที่สุดที่ 51.7% คิดเป็นมูลค่ากว่า 30 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ ทาง ADB ยังมีส่วนช่วยสนับสนุนและส่งเสริมผู้ออกตราสารหนี้ทั้งหน่วยงานรัฐวิสาหกิจและภาคเอกชนครอบคลุมตราสารหนี้ ESG bond ทุกประเภท และในอนาคตจะให้ความสำคัญกับการดำเนินการด้าน Local verifier, Sustainability disclosures, Transition finance and Sustainability-linked loans
คุณสุชาย บูรณะวลาหก Senior Green Investment Officer, Global Green Growth Institute (GGGI) ให้ข้อมูลการดำเนินการขององค์กรในการมีส่วนช่วยสนับสนุนประเทศสมาชิกและหุ้นส่วนในการระดมทุนสีเขียว เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย “การมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด” (Nationally Determined Contributions : NDCs) และเป้าหมายการเติบโตของเศรษฐกิจสีเขียว โดยมุ่งสนับสนุนใน 3 ด้าน ได้แก่ Sustainable energy, Sustainable landscapes และ Green cities สำหรับประเทศไทยให้การสนับสนุนผ่านทางกรอบการวางแผนและพัฒนาของประเทศไทย 2022 - 2026 (Thailand Country Planning Framework : CPF) ซึ่งเน้นการส่งเสริม 3 ด้านคือ Waste management, Green building และ Green Industry ตัวอย่างโครงการที่ดำเนินการสนับสนุน ได้แก่ การจัดการขยะมูลฝอยชุมชน (Municipal Solid Waste : MSW) การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ (Energy Efficiency : EE) และ Thailand Circular Economy Financing Facility (T-CEFF) เป็นต้น
ดร.อรศรัณย์ มนุอมร Specialist Consultant, Climate Bonds Initiative (CBI) นำเสนอแนวทางการนำมาตรฐานการจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจ (Thailand Taxonomy) ไปใช้เป็นเครื่องมือสำหรับภาครัฐและภาคธนาคารในการส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว (Green finance) โดยปัจจุบันเฟสแรกจะครอบคลุมเฉพาะภาคขนส่งและพลังงานซึ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมกันเกือบ 70% และส่งเสริมการเงินเพื่อการเปลี่ยนผ่าน (Transition finance) ของภาคธุรกิจไปสู่ธุรกิจสีเขียว ซึ่งในปัจจุบันตราสารหนี้/เงินกู้ ส่งเสริมความยั่งยืน Sustainability-Linked Bond และ Sustainability-linked loan (SLBs และ SLLs) ที่มีการเชื่อมโยงเป้าหมายความยั่งยืนในระดับองค์กรมีแนวโน้มจะได้รับความนิยมมากขึ้น รวมถึง Transition bond ที่เติบโตมากในจีนและญี่ปุ่น
คุณกรรณิการ์ ศรีธัญญลักษณา ผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ, บริษัท เดอะ ครีเอจี จำกัด. กล่าวถึงมาตรการการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป หรือ EU Carbon Border Adjustment Mechanism (EU-CBAM) ที่จะส่งผลกระทบกับบริษัทที่มีการส่งออกสินค้าไปสู่ประเทศยุโรป ซึ่งในระยะแวลาปลี่ยนผ่านระหว่าง 1 ตุลาคม 2566 ถึง 31 ธันวาคม 2568 ต้องมีการรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผลิตภัณฑ์ที่ต้องการจะนำเข้าประเทศในแถบยุโรป และระยะเวลาเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป จะต้องมีการจ่ายค่า CBAM certification สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ไม่สามารถควบคุมการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด ประเทศไทยจึงต้องเตรียมความพร้อมรับมือกับมาตรการต่างๆที่จะเกิดขึ้นและพลวัตที่เปลี่ยนแปลงไปของโลกในอนาคต
คุณพวงพันธ์ ศรีทอง ผู้จัดการสำนักรับรองธุรกิจคาร์บอนต่ำ, องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ให้ข้อมูลเป้าหมายสำคัญของประเทศไทยโดยจะเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emissions) ภายในปี 2065 รวมทั้งเพิ่มเป้าหมาย NDC เป็นร้อยละ 40 โดยมีมาตรการสําคัญ ได้แก่ การเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนในการผลิตไฟฟ้า อย่างน้อยร้อยละ 68 ในปี ค.ศ. 2040 ร้อยละ 74 ในปี ค.ศ. 2050, การใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ร้อยละ 69 ในปี ค.ศ. 2035, ยุติการใช้ถ่านหิน ในปี ค.ศ. 2050, การใช้เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน รวมถึงการใช้พลังงานไฮโดรเจนในภาคขนส่งและอุตสาหกรรม อีกทั้งได้กล่าวถึงการเตรียมความพร้อม โดยสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับผู้ประกอบการส่งออก ในด้านการคำนวณ การรายงาน และทวนสอบค่า Embedded Emissions และค่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์โดยใช้แพลตฟอร์มของ อบก.เป็นเครื่องมือ ที่ได้รับการยอมรับจากสหภาพยุโรป, และศึกษาแนวทางในการลดค่า Embedded Emissions ของผลิตภัณฑ์ภายใต้ข้อกำหนดของมาตรการปรับคาร์บอนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป
ในช่วงการเสวนา “แบ่งปันประสบการณ์การออกและเสนอขายตราสารหนี้กลุ่มความยั่งยืน” ผู้บริหารจากภาคเอกชนจำนวน 4 องค์กร ได้ร่วมแบ่งปันแนวทางในการดำเนินการด้านความยั่งยืน และการตัดสินใจในการริเริ่มดำเนินการด้านความยั่งยืนขององค์กร รวมถึงขั้นตอนการระดมทุนด้วยการออกตราสารหนี้กลุ่มความยั่งยืนในทางปฎิบัติจริง จนถึงการออกและเสนอขายให้ประสบความสำเร็จ โดยได้รับเกียรติจาก คุณมัณทนา เอื้อกิจขจร รองกรรมการผู้จัดการ งานวางแผนธุรกิจ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) (CKP), คุณวสุ กลมเกลี้ยง Executive Vice President ฝ่ายพัฒนากลยุทธ์และวางแผนการลงทุน /รักษาการฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) (EA), , คุณสมเกียรติ สุทธิวานิช รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานบัญชีและการเงิน บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) (EGCO) และคุณณัฐพรรษ ตันบุญเอก ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (WHA) ร่วมแบ่งปันในช่วงเสวนาดังกล่าว
จากนั้น คุณอริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย ได้กล่าวสรุปและอัพเดตถึง “โครงการให้ทุนสนับสนุนและส่งเสริมการออกตราสารหนี้กลุ่มความยั่งยืน (ESG Bond Issuance Grant Scheme)” ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง ThaiBMA และ CMDF โดย CMDF จะสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบหรือการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ด้านความยั่งยืน (ESG Bond) ตามเกณฑ์ที่กำหนด ได้แก่ เป็น ESG Bond (ไม่จำกัดสกุลเงิน) ที่มีอายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป และระดมทุนขั้นต่ำ 100 ล้านบาทต่อรุ่น โดย CMDF จะให้ทุนสนับสนุนตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง แต่ไม่เกิน 2 ล้านบาทต่อประเภทของ ESG Bond โดยมีวงเงินโครงการรวมทั้งสิ้น 100 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมีผู้ออก ESG bond ที่ได้รับทุนสนับสนุนแล้ว 4 องค์กร มูลค่าการออกตราสารหนี้รวม 21,366 ล้านบาท
ทั้งนี้ ESG bond ที่สามารถขอรับการสนับสนุนดังกล่าวจะต้องออกเสนอขายระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2566 ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2567 โดยผู้สนใจสามารถติดต่อ ThaiBMA เพื่อขอข้อมูลรายละเอียดเพิ่มเติม
คุณชิดชนก อันโนนจารย์ Associate Economics Officer, Asian Development Bank (ADB) กล่าวถึงการเติบโตของตลาดตราสารหนี้ ESG bond ในกลุ่มอาเซียน+3 (อาเซียนรวมกับจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้) คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 1.4% ของตลาดตราสารหนี้ทั่วโลก โดยภาคเอกชนเป็นหน่วยงานหลักในการออก ESG bond และ Green bond มีสัดส่วนการออกมากที่สุดที่ 51.7% คิดเป็นมูลค่ากว่า 30 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ ทาง ADB ยังมีส่วนช่วยสนับสนุนและส่งเสริมผู้ออกตราสารหนี้ทั้งหน่วยงานรัฐวิสาหกิจและภาคเอกชนครอบคลุมตราสารหนี้ ESG bond ทุกประเภท และในอนาคตจะให้ความสำคัญกับการดำเนินการด้าน Local verifier, Sustainability disclosures, Transition finance and Sustainability-linked loans
คุณสุชาย บูรณะวลาหก Senior Green Investment Officer, Global Green Growth Institute (GGGI) ให้ข้อมูลการดำเนินการขององค์กรในการมีส่วนช่วยสนับสนุนประเทศสมาชิกและหุ้นส่วนในการระดมทุนสีเขียว เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย “การมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด” (Nationally Determined Contributions : NDCs) และเป้าหมายการเติบโตของเศรษฐกิจสีเขียว โดยมุ่งสนับสนุนใน 3 ด้าน ได้แก่ Sustainable energy, Sustainable landscapes และ Green cities สำหรับประเทศไทยให้การสนับสนุนผ่านทางกรอบการวางแผนและพัฒนาของประเทศไทย 2022 - 2026 (Thailand Country Planning Framework : CPF) ซึ่งเน้นการส่งเสริม 3 ด้านคือ Waste management, Green building และ Green Industry ตัวอย่างโครงการที่ดำเนินการสนับสนุน ได้แก่ การจัดการขยะมูลฝอยชุมชน (Municipal Solid Waste : MSW) การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ (Energy Efficiency : EE) และ Thailand Circular Economy Financing Facility (T-CEFF) เป็นต้น
ดร.อรศรัณย์ มนุอมร Specialist Consultant, Climate Bonds Initiative (CBI) นำเสนอแนวทางการนำมาตรฐานการจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจ (Thailand Taxonomy) ไปใช้เป็นเครื่องมือสำหรับภาครัฐและภาคธนาคารในการส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว (Green finance) โดยปัจจุบันเฟสแรกจะครอบคลุมเฉพาะภาคขนส่งและพลังงานซึ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมกันเกือบ 70% และส่งเสริมการเงินเพื่อการเปลี่ยนผ่าน (Transition finance) ของภาคธุรกิจไปสู่ธุรกิจสีเขียว ซึ่งในปัจจุบันตราสารหนี้/เงินกู้ ส่งเสริมความยั่งยืน Sustainability-Linked Bond และ Sustainability-linked loan (SLBs และ SLLs) ที่มีการเชื่อมโยงเป้าหมายความยั่งยืนในระดับองค์กรมีแนวโน้มจะได้รับความนิยมมากขึ้น รวมถึง Transition bond ที่เติบโตมากในจีนและญี่ปุ่น
คุณกรรณิการ์ ศรีธัญญลักษณา ผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ, บริษัท เดอะ ครีเอจี จำกัด. กล่าวถึงมาตรการการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป หรือ EU Carbon Border Adjustment Mechanism (EU-CBAM) ที่จะส่งผลกระทบกับบริษัทที่มีการส่งออกสินค้าไปสู่ประเทศยุโรป ซึ่งในระยะแวลาปลี่ยนผ่านระหว่าง 1 ตุลาคม 2566 ถึง 31 ธันวาคม 2568 ต้องมีการรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผลิตภัณฑ์ที่ต้องการจะนำเข้าประเทศในแถบยุโรป และระยะเวลาเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป จะต้องมีการจ่ายค่า CBAM certification สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ไม่สามารถควบคุมการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด ประเทศไทยจึงต้องเตรียมความพร้อมรับมือกับมาตรการต่างๆที่จะเกิดขึ้นและพลวัตที่เปลี่ยนแปลงไปของโลกในอนาคต
คุณพวงพันธ์ ศรีทอง ผู้จัดการสำนักรับรองธุรกิจคาร์บอนต่ำ, องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ให้ข้อมูลเป้าหมายสำคัญของประเทศไทยโดยจะเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emissions) ภายในปี 2065 รวมทั้งเพิ่มเป้าหมาย NDC เป็นร้อยละ 40 โดยมีมาตรการสําคัญ ได้แก่ การเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนในการผลิตไฟฟ้า อย่างน้อยร้อยละ 68 ในปี ค.ศ. 2040 ร้อยละ 74 ในปี ค.ศ. 2050, การใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ร้อยละ 69 ในปี ค.ศ. 2035, ยุติการใช้ถ่านหิน ในปี ค.ศ. 2050, การใช้เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน รวมถึงการใช้พลังงานไฮโดรเจนในภาคขนส่งและอุตสาหกรรม อีกทั้งได้กล่าวถึงการเตรียมความพร้อม โดยสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับผู้ประกอบการส่งออก ในด้านการคำนวณ การรายงาน และทวนสอบค่า Embedded Emissions และค่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์โดยใช้แพลตฟอร์มของ อบก.เป็นเครื่องมือ ที่ได้รับการยอมรับจากสหภาพยุโรป, และศึกษาแนวทางในการลดค่า Embedded Emissions ของผลิตภัณฑ์ภายใต้ข้อกำหนดของมาตรการปรับคาร์บอนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป
ในช่วงการเสวนา “แบ่งปันประสบการณ์การออกและเสนอขายตราสารหนี้กลุ่มความยั่งยืน” ผู้บริหารจากภาคเอกชนจำนวน 4 องค์กร ได้ร่วมแบ่งปันแนวทางในการดำเนินการด้านความยั่งยืน และการตัดสินใจในการริเริ่มดำเนินการด้านความยั่งยืนขององค์กร รวมถึงขั้นตอนการระดมทุนด้วยการออกตราสารหนี้กลุ่มความยั่งยืนในทางปฎิบัติจริง จนถึงการออกและเสนอขายให้ประสบความสำเร็จ โดยได้รับเกียรติจาก คุณมัณทนา เอื้อกิจขจร รองกรรมการผู้จัดการ งานวางแผนธุรกิจ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) (CKP), คุณวสุ กลมเกลี้ยง Executive Vice President ฝ่ายพัฒนากลยุทธ์และวางแผนการลงทุน /รักษาการฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) (EA), , คุณสมเกียรติ สุทธิวานิช รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานบัญชีและการเงิน บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) (EGCO) และคุณณัฐพรรษ ตันบุญเอก ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (WHA) ร่วมแบ่งปันในช่วงเสวนาดังกล่าว
จากนั้น คุณอริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย ได้กล่าวสรุปและอัพเดตถึง “โครงการให้ทุนสนับสนุนและส่งเสริมการออกตราสารหนี้กลุ่มความยั่งยืน (ESG Bond Issuance Grant Scheme)” ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง ThaiBMA และ CMDF โดย CMDF จะสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบหรือการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ด้านความยั่งยืน (ESG Bond) ตามเกณฑ์ที่กำหนด ได้แก่ เป็น ESG Bond (ไม่จำกัดสกุลเงิน) ที่มีอายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป และระดมทุนขั้นต่ำ 100 ล้านบาทต่อรุ่น โดย CMDF จะให้ทุนสนับสนุนตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง แต่ไม่เกิน 2 ล้านบาทต่อประเภทของ ESG Bond โดยมีวงเงินโครงการรวมทั้งสิ้น 100 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมีผู้ออก ESG bond ที่ได้รับทุนสนับสนุนแล้ว 4 องค์กร มูลค่าการออกตราสารหนี้รวม 21,366 ล้านบาท
ทั้งนี้ ESG bond ที่สามารถขอรับการสนับสนุนดังกล่าวจะต้องออกเสนอขายระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2566 ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2567 โดยผู้สนใจสามารถติดต่อ ThaiBMA เพื่อขอข้อมูลรายละเอียดเพิ่มเติม